วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เรียนภาษาอังกฤษที่ไหนดี

ก่อนอื่น ต้องขอแนะนำตัวเองก่อน นะครับ ว่า ผู้เขียนเป็นใคร มาจากไหน เพราะ บทความนี้เป็นบทแรก ของ blog นี้ (www.dekenglish.com) หลังจากที่ผู้เขียนมีประสบการณ์ในการใช้ และสื่อสารภาษาอังกฤษ ที่ได้จากศึกษา และจากประสบการณ์การทำงานโรงแรม มากว่า 6 ปี และมองเห็นปัณหาในการใช้ภาษาอังกฤษของคนไทยด้วยกันเป็นอย่างดี ก็เลยรู้สึกคันไม้คันมือ อยากระบายให้ใครสักคน หรือหลายคนได้รับรู้บ้าง ซึ่งหลายๆคำถามที่มักจะได้รับจาากคนรอบข้าง สรุปแล้ว มักจะลงเอยด้วยคำว่าจะ เรียนภาษาอังกฤษที่ไหนดี ถึงได้ผลเร็ว ถ้ามองอีกมุมของเจ้าของภาษา เขาคงจะงง ว่า คนไทย เรียนภาษาอังกฤษกันยังไง เรียนมาเกือบ 10 ยังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ไม่กระดิกเลย ทั้งๆที่ ภาษาอังกฤษเรียนง่ายกว่า บางภาษา เช่น ภาษาญี่ปุ่น ภาษาจีน เป็นต้น ในมุมมอง (ส่วนตัว) ผู้เขียนคิดว่า ความผิดพลาด เกิดขึ้นจาก ระบบการศึกษาของประเทศของเราเอง ที่มักเน้น แต่ทษฎีมากเกินไป จนไม่สนใจ การปฏิบัติ (การใช้ภาษาในการสื่อสาร) ข้อสอบที่ออกมา ก็มีแต่ หลักไวยากรณ์ และคำศัพท์ เป็นส่วนใหญ่ ถึงว่าคนจบปริญญาเอก (ดูจากนักการเมืองบางคน) ถึงพูดได้แค่ งู ๆ ปลาๆ สำเนียง ก็แปลก เหมือน เด็กประถม (ว่าเกินไป หรือเปล่านะ เดี๋ยวโดนแบน) คำว่า เรียนภาษาอังกฤษที่ไหนดี เป็นคำาถามที่อยากรู้ว่า ที่ไหน โรงเรียนไหน หรือ สถานที่ไหน ที่สอน ภาษาอังกฤษแล้วดี แล้วทำให้เก่งได้ ถ้าถามผูเขียน ก็จะตอบตรงๆ ว่า ไม่ว่าที่ไหนๆ (ทุกที่ )ก็สามารถเป็นที่เรียนภาษาอังกฤษได้ดี ไม่ว่าจะเป็นสถานศึกษา โรงเรียน หรือ หน่วนงานการศึกษาของเอกชน เพราะว่า ขึ้นชื่อว่า การเล่าเรียน หรือการศึกษา ไม่ว่าวิชาอะไรก็ตาม สถาบัน หรือ โรงเรียน เป็นส่วนประกอบเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ที่จะทำให้เป็นคนเ่ก่ง ในสาขาที่เรียน แต่ส่วนที่สำคัญที่สุด คือตัวผู้เรียนเอง ที่จะต้องมีความมุ่งมั่น และทุ่มเท เพื่อใไห้ได้ ความรู้ ที่ตนเองต้องการ ดังนั้น คำว่า เรียนภาษาอังกฤษที่ไหนดี สำหรับคนที่มีความมุ่งมั่น และทุ่มเท จึงอาจจะ ไม่ใช่ สิ่งที่สำคัญมากนัก ยิ่ง คนที่มีงบจำกัด ก็แแทบจะไม่ต้องคิดเลย เพราะคงรู้อยู่แล้ว ว่าจะเข้าเรียนที่ไหน การเรียนภาษา ไม่ว่าภาษาอะไรก็ตาม (จากประสบการณ์ ผู้เขียน ที่เรียนมา 2 ภาษา ) มีความเห็นว่า การจะประสบความสำเรียนในการเรียน ก็คือ เรียนด้วยความเต็มใจ ตั้งใจ และรักที่จะเรียน และคุณก็จะเป็นคนเก่งได้ ไม่ว่าจะเรียนทีไหนก็ตาม ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ มีโปรแกรม ซอฟแวร์ แอพริเคชั่นมากมาย ช่วยสอนการเรียนให้เป็นไปอย่างง่านขึ้น โดยเฉพาะภาษา โปรแกรม Tell Me More Online สามารถพูดโต้ตอบให้เราได้ฝึกฝน สามารถผึกพูดกี่ครั้งก็ได้ ระบบจะตรวจสอบว่าคำพูดนั้นๆ ถูกต้องหรือไม่ อีกทั้งเป็นซอฟแวร์ที่สามารถเอาผลสอบไปเทียบกับ Toelf, Toeic, IELST ได้อีกด้วย

วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เวลา 2 อาทิตย์จะสอบ IELTS ต้องเตรียมตัวอย่างไร

เหลือเวลาอีกแค่ 2 อาทิตย์ ถึงตอนนี้คงจะฝึกเพิ่มเติมได้ไม่มากล่ะค่ะ
งั้นขนม ขออนุญาตแนะนำในแต่ละส่วน ในเรื่องเทคนิคที่ควรจะฝึกในเวลาที่จำกัดละกันนะคะ
เพราะจริงๆ IELTS 5.0 ไม่ได้ยากเลยค่ะ แต่ขึ้นอยู่กับพื้นฐานของคนสอบด้วยน่ะค่ะ
ปล. ข้อมูลที่เอามาแนะนำ ต้องขอขอบคุณเว็บนี้ และเว็บต่างๆที่กรุณาให้ความรู้เป็นวิทยาทานค่ะ

ส่วน listening นะคะ

ข้อสอบการฟังให้เวลาฟัง 30 นาที และเขียนตอบลงใน Answer Sheet อีก 10 นาที่ รวม 40 นาที ข้อสอบจะมี ทั้งหมด 4 ตอน 40 ข้อ ซึ่งในแต่ละตอนจะยากขึ้นเรื่อย ๆ ค่ะ
+ ตอนที่ 1 โดยส่วนใหญ่เป็นบทสนทนาระหว่าง 2 คน ในเรื่องทั่ว ๆ ไป เช่น การนัดหมาย การจอง การสมัคร >> คำตอบส่วนใหญ่ คือ ชื่อ ที่อยู่ (สถานที่) เบอร์โทรฯ อีเมล์

+ ตอนที่ 2 โดยส่วนใหญ่เป็นการพูดคนเดียวเกี่ยวกับ ข่าว สถานการณ์ ประเด็นต่าง ๆ

+ ตอนที่ 3 โดยส่วนใหญ่เป็นการสนทนา 2-4 คน เป็นเรื่องราวทางวิชาการหรือภาวะเหตุการณ์ต่าง ๆ หรืองานวิจัย

+ ตอนที่ 4 โดยส่วนใหญ่เป็นการพูดคนเดียวเชิงวิชาการเป็นลักษณะของการบรรยาย

ข้อแนะนำนะคะ

+ ฟัง (อ่าน) และทำความเข้าใจคำสั่งให้ชัดเจนว่าสั่งหรือมีข้อห้ามอะไร เช่น ห้ามเขียนเกิน 3 คน, ตอบเฉพาะตัวเลข

+ พยายามอ่านคำถามก่อน > และหา Keyword + ขีดเส้นใต้ Keyword ไว้ > และเดาคำตอบไว้ล่วงหน้า โดยใช้เวลา 30 วินาที่ ก่อนฟังให้เกิดประโยชน์ที่สุด

+ ขณะฟังให้นึกถึงสถานการณ์จริง

+ ชื่อคน ชื่อเมือง ควรเขียนตัวพิมพ์ใหญ่ หรือดูตามตัวอย่างที่มีมาให้ค่ะ

+ จับเสียงการเน้นคำของเรื่องราว โดยมากคำตอบจะเป็นการเน้นเสียงที่คำนั้น ๆ

+ ระหว่างฟังให้จดไปเรื่อย ๆ ใน keyword สำคัญ ๆ (เผื่อเอาไว้ตอบค่ะ)

+ อ่านโจทย์และสังเกตว่าคำตอบจะมาจากผู้พูดคนไหน (สนทนา) ให้ตั้งใจฟังให้มาก ๆ ขึ้น

+ สะกดให้ถูกต้อง (ถ้าเทปสะกดให้)

+ ถ้าทำไม่ทันให้ทำข้อต่อไปเลยไม่ต้องย้อนกลับมาคิดข้อที่ผ่านมา

+ เขียนตอบต้องเขียนให้อ่านออก (และต้องสะกดให้ถูกด้วย)

+ ควรเขียนตอบสไตล์ อังกฤษ เช่น Colour, 1st May, 2008 จะดีกว่าการตอบแบบ America

+ ให้ตอบทุกคำตอบ คิดไม่ออกให้ใช้ข้อมูลมาจากข้อความใกล้เคียง

+ ระหว่างที่ให้ตอบในโจทย์ และใช้ 10 นาทีในการย้ายคำตอบไป answer sheet อย่างคุ้มค่า

+ ถ้าตอบไม่ได้จริงๆ ให้ เดา เดา เดา อย่างว่างไว้เป็นอันขาด (เสียดาย)

+ให้มีสติและสมาธิ ตลอดเวลาการฟังและตอบ อย่าเหม่อ จะหลุดยาว

+ ให้อ่านศัพท์ Synonyms มาด้วย เพราะบางครั้งโจทย์กับคำตอบ คำศัพท์ต่างกันแต่ความหมายเหมือนกัน)

+ ฟังให้ดี ๆ ได้ยินแล้วอย่าตอบทันที ให้ mark เอาไว้ก่อนเพราะอาจจะมีคำตอบที่ถูก ตามมา (บ่อยมาก)

+ ให้ระมัดเรื่องเติม s ด้วย สำหรับข้อนี้ให้ดูตาม context ซึ่งอาจจะเป็น Subject หรือ Noun ซึ่งต้องสอดคล้องกัน

ส่วน Reading นะคะ

เรื่องที่อ่านประกอบไปด้วย 3 เรื่องด้วยกันค่ะ (3 section) ทั้งหมดมี 40 ข้อ ให้เวลาก็ 60 นาที (1 ตอน / 20 นาที) ซึ่งจะเริ่มจากเรื่องง่ายไปเรื่องยาก ลักษณะของข้อสอบจะเป็นเรื่องที่คัดลอกมาจาก บทความทางวิชาการ นิตยสาร วารสาร ตำราเรียน หนังสือพิมพ์

ข้อแนะนำนะคะ
+ แบ่งเวลาให้เหมาะสม 1 เรื่อง ใช้เวลา 20 นาที (เท่านั้น)

+ ตอนทำให้ทำในกระดาษโจทย์ก่อนแล้วใช้เวลาอีก 2 นาที ลอกคำตอบใส่ answer sheet ค่ะ (18 นาทีทำ และ 2 นาทีลอกคำตอบ) เพื่อเป็นการทบทวนการตอบด้วยค่ะ

+ อ่านคำสั่งให้เข้าใจว่าสั่งว่าอย่างไร แต่ละเรื่องอาจไม่เหมือนกันในเรื่องของข้อกำหนดในการตอบ

+ อ่านชื่อเรื่องเพื่อ Scope ความคิด

+ อ่านโจทย์ก่อนแล้วขีดเส้นใต้คำสำคัญหรือ key word เพื่อให้รู้ว่าอะไรคือ สิ่งที่ต้องการหาในเนื้อเรื่อง

+ key word มักจะเป็นคำที่บอก ชื่อ สถานที่ เวลา วันเดือนปี

+ หาคำตอบจากเนื้อเรื่องอย่างรวดเร็วด้วยการใช้ key word และ Symonyms (บางครั้ง key word อาจเป็นคำต่างแต่ความหมายเดียวกันค่ะ)

+ อย่าอ่านเนื้อเรื้องทั้งหมด (ไม่ต้องเข้าใจหมด) อ่านกลับไปกลับมาได้

+ อ่านแบบ Skim เพื่อหา key word เมื่อเจอ key word ให้อ่าน scan เพื่อหาคำตอบ

+ พยายามใช้ปากกาช่วยอ่านลดการมึน (มึนจริง ๆ ค่ะ เนื้อเรื่องก็เยอะ เวลาก็น้อย .... สู้ )

+ ต้องสรุป Main Idea ของแต่ละย่อหน้าให้ได้

+ โจทย์จะถามตามลำดับเนื้อเรื่อง ไม่ถามกลับไปกลับมา ทำให้เราหาคำตอบได้ง่ายขึ้นค่ะ

+ คำตอบจะมาจากเนื้อเรื่องเท่านั้น อย่าเอามาจากที่อื่น (เพราะเขียนตอบจะผิดได้)

+ ข้อยากไว้ทำทีหลัง (อาจตัด chioce ไปหรือ เลือกข้อที่น่าสนใจไว้) แล้วกลับมาทำ

+ อย่าปล่อยว่างไว้ ให้ตอบทุกข้อ

+ ถ้าทำไม่ได้จริง ๆ ให้ เดา เดา และ เดา ค่ะ

+ ต้องมีสมาธิ สติ ตลอดระยะเวลาการทำ

+ ควรอ่านหนังสือพิม ฟังข่าว และดูหนัง เป็นภาคอังกฤษ

+ จำศัพท์ไว้เยอะ ๆ (เจอที่ไหนก็จดและหาคำแปลเอาไว้) อาจได้ใช้แน่ ๆ

ส่วน Writing นะคะ

Writing ก็เป็นอีก part หนึ่งที่ปราบเซียน ค่ะ สำหรับ part นี้ประกอบไปด้วย 2 หัวข้อในการเขียน คือ

+ การอธิบาย graph, chart, table or picture โดยให้เขียนเป็นรูปแบบรายงานไม่ต้องแสดงความคิดเห็น โดยให้มีการเปรียบเทียบความเหมือนหรือแตกต่างของตัวเลขที่แสดง หรือลักษณะที่แตกต่างอออกไป (20 นาที)

+ การเขียน Essay ถึงทัศนะคติของหัวข้อที่ได้รับ โดยใช้ประสบการณ์หรือความรู้ในได้ (40 นาที)


ข้อแนะนำนะคะ

+ แบ่งเวลาในการเขียนให้เหมาะสม

- เรื่องแรกอธิบายกราฟ 20 นาที แบ่งเป็น 5 นาที สำหรับวางแผน และ 13 นาที สำหรับเขียน ส่วน 2 นาทีสำหรับตรวจสอบ (สำคัญมั่ก ๆ ตรวจสอบน่ะค่ะ เพราะอาจจะเสียคะแนนไปกับเรื่องง่าย ๆ เช่น spelling ค่ะ)

- เรืองที่สองเขียน Essay แสดงทัศนคติ แบ่งเป็น 10 นาที สำหรับวางแผน และ 28 นาที สำหรับเขียน ส่วน 2 นาที สำหรับตรวจสอบ

+ อ่านโจทย์ให้รอบคอบ และขีดเส้นใต้คำสำคัญไว้ เพื่อย้ำว่ากำลังเขียนถึงเรื่องอะไร

+การอธิบายกราฟ


- อย่าพยายามเขียนทุกอย่างในกราฟ ให้เขียนแสดงความแตกต่าง น้อย
สุดมากสุด การเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด
- ใช้คำเชื่อมในการบอกประเด็น (เพื่อให้รู้ว่าสิ่งที่จะทำต่อไปคืออะไร)
- แนวทางเดียวกัน : In addition, Furthermore, Besides
- แตกต่างกัน : Alternatively, Whereas, On the other hand,
In comparison, However
- ทัศนคติ : In my opinion, personally speaking
- แสดงเหตุผล : Because, Therefore, As a result
- เวลา,ลำดับ : Firstly, After that, Finally, Since
- ยกตัวอย่าง : For example, For instance, In other word ,
such as
- การใช้ Tense อย่างถูกต้อง (ส่วนใหญ่ present กะ past)
- พยายามใช้คำศัพท์ให้หลากหลายเพื่อแสดงการเพิ่มขึ้นและลดลง
- Up : rise, increase, growth, reach a peak
- Down : fall, drop, decrease, decline, reach a bottom
- No change : remain the same, remain stable
- How much : rapid, sharp, slight, slow, gradual, steady
constant
- Figures : just under, nearly,just over,over
- นำคำถามมาเรียบเรียงใหม่เป็น Intro
- อย่าวิเคราะห์กราฟ ให้บรรยายหรือรายงาน
- เขียนให้มากว่าที่กำหนดเสมอ อย่าน้อยกว่าเป็นอันขาด ค่ะ
- เขียนบ่อย ๆ สร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง

ส่วน Speaking นะคะ

Speaking มีคติประจำว่า "ทำตัวให้เหมือนคนพูดเก่ง พูดให้มากที่สุด เท่าที่จะมาได้ อย่าหยุด ถ้าผู้สัมภาษณ์ไม่บอกให้หยุด" แค่นี้ก็ได้ Band สูง ๆ แล้วค่ะ

ส่วนของการพูดประกอบด้วย 3 ส่วนย่อย ใช้เวลา ประมาณ 15 นาที
1. การแนะนำตัวและสัมภาษณ์ (4-5 นาที)
2. การพูดจากหัวข้อที่ได้รับ (เตรียม 1 นาที พูด 2 นาที)
3. การสัมภาษณ์ หัวข้อต่อเนื่องจากข้อ 2 (4-5 นาที)

ข้อแนะนำนะคะ

+ ตอบให้ยาวที่สุดเท่าที่จะยาวได้
+ อย่าถามผู้สัมภาษณ์กลับ
+ ถามชื่อให้ตอบเฉพาะชื่อกับนามสกุล (ไม่ต้องใส่ My name is...)
+ ถามว่ามาจากไหน ตอบว่า Thailand
+ พูดว่า What's do you mean exactly? เมื่อไม่เข้าใจคำถาม
+ เมื่อไม่ได้ยินให้พูดว่า Sorry เท่านั้น ไม่พูด Pardon
+ ใช้เวลาในการเตรียมพูด 2 นาทีอย่างคุ้มค่า (เขียนเป็น Mild map หรือ Topic list)
+ สบตาผู้สัมภาษณ์ และอ่านริมฝีปาก
+ ยิ้มแย้มแจ่มใส
+ พูดและคิดเป็นภาษาอังกฤษ อย่างสม่ำเสมอ
+ห้ามหยุดพูดไปเลยเด็ดขาดค่ะ ขอให้คิดได้ แต่ไม่ควรเกิน 5 วินาที
ถ้าคิดไม่ออกแนะนำว่าให้แต่งเรื่องขึ้นมาเลยค่ะ แต่ต้องไม่ใช่เรื่องที่ Examiner รู็อยู่แล้วนะคะ
อย่างเรื่องประวัติศาสตร์ หรือ วัฒนธรรมนี่แต่งไม่ได้นะคะ

การประเมินการพูด :

+ ความคล่องแคล่วและประติดประต่อ : พูดไปเรื่อย ๆ ไม่หยุด และมีการเชื่อมโยงที่ดี
+ การเลือกใช้ศัพท์ : เลือกศัพท์หลากหลาย และยาก
+ การเลือกใช้ไวยากรณ์และความถูกต้อง : ใช้ประโยชน์ซับซ้อนแต่เข้าใจง่าย
+ การออกเสียง : ออกเสียงอย่างเป็นธรรมชาติ เน้นสูงต่ำให้ถูกต้อง และชัดเจน เช่น Computer เน้นตรง pu นะค่ะ

การทำแบบฝึกหัดและเอาตัวเองเข้าไปในสภาพแวดล้อมของการใช้ภาษามาก ๆ จะเป็นผลดีต่อการสอบมากเลยค่ะ
ยังไงก็ขอให้โชคดีในการสอบค่ะ
* ขนม *

ขอขอบคุณข้อมูล www.dekenglish.com

วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555

20 เคล็ดลับเจ๋งๆ เรียนภาษาอังกฤษให้เก่ง

หนุ่มสาววัยรุ่นสมัยนี้ เก่งกันตั้งแต่ๆเล็กก็เยอะแยะไปเนอะ ไม่ว่าจะเป็นความสามารถทางด้านภาษา การเรียน กิจกรรมต่างๆ เล่นเอาคนรุ่นหลังๆตามไม่ทันเลยทีเดียว .. ทีนี้สำหรับคนที่อยากเก่งภาษแต่ติดตรงที่ “ไม่กล้า” เรียนยังไงก็ไม่เข้าใจ ทำไมมันยากจัง!! งั้นลองมาดูวิธีดีๆที่ teen.mthai เอามาฝากกันดีกว่านะคะ อาจจะช่วยให้เพื่อนๆเรียนและจัดการกับการเรียนภาษาให้ได้ดีก็ได้นะ ^^


1.ความเกี่ยวเนื่อง: ถ้าคุณจัดคำศัพท์ออกเป็นหมวดหมู่ขึ้นอยู่กับความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันระหว่างศัพท์แล้วเขียนออกมาเป็นแผนผังจะทำให้คุณจำคำศัพท์ได้ง่ายขึ้น


2.เขียน: การนำคำศัพท์นั้นมาใช้จะทำให้คุณจำได้ฝังใจยิ่งขึ้น ลองเขียนแต่งประโยคโดยนำศัพท์ใหม่ที่เรียนนั้นมาประกอบหรือแต่งเรื่องโดยใช้กลุ่มคำ

ศัพท์หรือสำนวนที่เรียนอยู่


3.วาดรูป: ดึงวิญญาณศิลปินในตัวคุณออกมาใช้ โดยการวาดรูปที่แสดงถึงศัพท์ที่คุณเรียนอยู่ ภาพที่คุณวาดจะช่วยกระตุ้นความ

ทรงจำถึงศัพท์นั้นในอนาคต


4.แสดง: แสดงท่าทางประกอบคำศัพท์หรือสำนวนที่คุณกำลังเรียนอยู่ หรือจินตนาการว่าคุณจะแสดงออกอย่างไรในสถานการณ์ที่คุณต้องใช้ศัพท์คำนั้น


5.สร้าง: ออกแบบ flashcards ศัพท์ภาษาอังกฤษพร้อมความหมายแล้วเปิดอ่านหรือท่องในยามว่าง ทำเล่มใหม่ขึ้นทุกอาทิตย์และอย่าลืมทบทวนอันเก่าไปพร้อมๆ กันด้วย

6.ความสัมพันธ์: กำหนดแต่ละสีให้แต่ละคำศัพท์ ความสัมพันธ์ของแต่ละคู่จะช่วยให้คุณจำศัพท์นั้นได้แม่นขึ้นเมื่อนึกถึงคำนั้นในคราวต่อไป


7.ฟัง: นึกถึงศัพท์คำอื่นที่ออกเสียงคล้ายๆ กับคำศัพท์ใหม่ที่พยายามเรียนอยู่ ใช้ความสัมพันธ์ตรงจุดนี้ในการช่วยให้คุณจำการออกเสียงของคำใหม่นั้น


8.เลือก: จำไว้ว่าการเรียนในหัวข้อที่คุณชอบหรือสนใจจะทำให้คุณรู้สึกว่ามันง่ายขึ้น ฉะนั้นคุณควรใส่ใจในการเลือกคำศัพท์ที่คุณคิดว่ามีประโยชน์หรือน่าสนใจ เพราะแม้แต่กระบวนการเลือกคำที่จะเรียนก็มีผลให้คุณจำได้แม่นและเร็วขึ้นด้วยเช่นกัน !


9.ข้อจำกัด: คุณก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอกที่คนเราจะจำศัพท์ที่มีอยู่ในดิกชันนารี่ทั้งหมดได้ในวันเดียว เพราะฉะนั้นจำกัดการเรียนศัพท์ใหม่แค่วันละ 15 คำก็พอแล้ว ซึ่งถ้าพยายามจำให้มากคำเกินไปกว่านี้แทนที่มันจะทำให้คุณรู้สึกมั่นใจกลับจะทำให้คุณสมองตื้อแทน


10.สังเกต: พยายามสังเกตหาคำศัพท์ที่คุณกำลังเรียนอยู่เมื่ออ่านหรือฟังภาษาอังกฤษ



11.ยอมรับความจริง ไม่มีใครพูดภาษาที่สองได้ตั้งแต่เกิด ทุกคนต้องใช้เวลาในการเรียนรู้กันทั้งนั้น ฉะนั้นอย่าคาดหวังว่าจะต้องเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่เริ่มต้น



12.เรียนรู้ทีละนิด จากการศึกษาพบว่า การทบทวนเป็นระยะเวลาสั้นๆ อย่างเช่น ในระหว่างทานอาหารเช้า ในขณะอาบน้ำ หรือในขณะเดินทาง จะส่งผลให้คุณจดจำได้ดีกว่า


13.ท่องศัพท์ ยิ่งคุณรู้ศัพท์มากเท่าไหร่ คุณก็สามารถพูดและเข้าใจได้มากขึ้นเท่านั้น เทคนิคในการจดจำคำศัพท์ คือ พกการ์ดใบเล็กๆที่เขียนคำศัพท์ (ที่มีคำแปลอยู่ด้านหลัง) ไปกับคุณทุกที่


14.ฝึกหัดอย่างจริงจัง อย่าแค่ทำปากขมุบขมิบหรือท่องเอาไว้ใสใจ พูดหรืออ่านออกมาดังๆ ในทุกครั้งที่มีโอกาส เพื่อจะได้ฝึกปากของคุณให้เคยชินกับการออกเสียง


15.ทำการบ้าน การทำการบ้านคือการฝึกฝนทักษะการใช้ภาษาให้เป็นไปอย่างแม่นยำ จนกลายเป็ความชำนาญ และสามารถทำออกมาได้อย่างอัตโนมัติในที่สุด

16. จับกลุ่มเรียน หาเวลาทบทวน ทำการบ้าน หรือแค่ฝึกพูดภาษานั้นๆ กับเพื่อนๆ เป็นประจำ ซึ่งจะช่วยแก้ไขข้อบกพร่องให้กันและกันได้ แถมยังทำคุณจดจำได้แม่นยำยิ่งขึ้นด้วย


17.หาจุดอ่อน คุณควรหาจุดอ่อนในการเรียนของตัวเองให้เจอ เพื่อที่จะได้เพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ อย่างเช่น ถ้าคุณเป็นคนเงียบๆ และไม่ค่อยมีส่วนร่วมในชั้นเรียน ก็บังคับตัวเองให้เลือกที่นั่งแถวหน้าในห้องเรียนซะ


18.หาโอกาสในการใช้ภาษา เพื่อสร้างความคุ้นเคยกับภาษานั้นๆ ให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยกับเจ้าของภาษาเช่าหนังที่พูดภาษานั้นๆ มาดูหรือแม้กระทั่งหาแฟนที่เป็นเจ้าของภาษานั้นซะเลย


19. ทุ่มความสนใจ พูดง่ายๆ ก็คือ หายใจเข้าออกก็ให้เป็นภาษานั้น เรียนรู้ภาษานั้นๆ ทั้งในและนอกห้องเรียนอย่างจริงจังและเต็มที่ถึงขนาดถึงขนาดถ้าฝันได้ก็อาจฝันเป็นภาษานั้นๆ ด้วย


20. ปรึกษาผู้รู้ ถ้ามีปัญหาหรือติดขัดอะไร ก็ต้องสอบถามครูผู้สอนหรือเจ้าของภาษานั้นทันที เพื่อทำลายกำแพงที่เป็นอุปสรรคในการเรียนออกไปให้เร็วที่สุด คุณจะได้ไม่ต้องสะดุดอยู่นานเกินไปซึ่งนั้นอาจทำให้คุณเกิดความเบื่อหน่ายได้

ขอบคุณข้อมูล interactiveenglishlearning.com

วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2555

วิธีที่จะทำให้เก่งภาษาอังกฤษ

วิธีที่จะทำให้เก่งภาษาอังกฤษ
How to Excel in English
(Master Jonathan's tactics)
        A lot of Thai students especially English admirers, would like to know "how to be good at English". According to Joseph Bellafiore, a veteran American linguist, the best way to excel of English is to try to enrich your word power. "The more vocabularies you gain, the better English learner you are," says Bellafiore.
        เด็กนักเรียนไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ชอบภาษาอังกฤษล้วนอยากจะทราบ "วิธีการเรียนภาษาอังกฤษให้เก่ง" กันทั้งนั้น โจเซฟ เบลลาฟิโอเร นักภาษาศาสตร์อเมริกันผู้เชียวชาญ กล่าวไว้ว่า วิธีการเรียนภาษาอังกฤษให้เก่งก็คือ จงพยายามเสริมสร้างความรู้ในเรื่องศัพท์ "ยิ่งรู้ศัพท์มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นผู้เรียนภาษาอังกฤษยิ่งขึ้นเท่านั้น" เบลลาฟิโอเรกล่าว

         Wide reading of books, newspapers and magazines gives you a great leap forward to increase your command of words. Since you're interested in getting better marks in English exams, landing a good job in the near future and becoming a person who can speak English fluently, you must start now!
To start with, there are six ways to a better vocabulary :
          การอ่านมาก ทั้งหนังสือ หนังสือพิมพ์ และนิตยสารจะทำให้เราก้าวไกลมากในการเพิ่มพูนเสริมสร้างการใช้ศัพท์ ในเมื่อเราสนใจอยากได้คะแนนสอบภาษาอังกฤษสูงๆ อยากได้งานดีๆ ในอนาคตอันใกล้ และอยากเป็นคนที่สามารถพูดอังกฤษคล่อง เราต้องเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้   เริ่มต้นทีเดียว ก็มีอยู่ 6 วิธีด้วยกันในอันที่จะทำให้เก่งศัพท์ยิ่งขึ้น
1. Experience : ประสบการณ์
    You have to widen your range of experience by firsthand contact with English-speaking people. In a nutshell, you have to try to converse with English speakers-on whatevertopics-whenever you have a chance. Life is the greatest teacher of words and everything else.
     เราควรเสริมสร้างเราควรจะเสริมสร้างประสบการณ์ที่มีอยู่ด้วยการติดต่อสื่อสารโดยตรงกับคนที่พูดภาษาอังกฤษ คือ พูดง่ายๆ เราควรจะพยายามสนทนากับคนที่พูดภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะคุยเรื่องอะไรเมื่อไหร่ก็ตามที่เรามีโอกาสชีวิตคือครูคำศัพท์และทุกสิ่งทุกอย่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
2. Reading : การอ่าน
    You must develop your habit of reading English books, newspaper and magazines based on interests, hobby, vocation , etc. Reading is one of the chef tools in broadening your background.
    เราต้องพัฒนานิสัยในการอ่านหนังสือ หนังสือพิมพ์ และนิตยสารที่เป็นภาษาอังกฤษบนพื้นฐานของความสนใจ งานอดิเรก อาชีพ เป็นต้น การอ่านถือว่าเป็นหนึ่งในอุปกรณ์หลักๆ ที่จะเสริมสร้างภูมิหลังให้แก่เรา
3. Dictionary : พจนานุกรม
     You should get better acquainted with the contents and arrangements of words in the dictionary. The dictionary is a "must" for every English learner.
      เราควรจะทำความคุ้นเคยกับเนื้อหาสาระและการเรียงร้อย คำในพจนานุกรมให้ดียิ่งขึ้น พจนานุกรมนั้น "จำเป็น" สำหรับคนที่เรียนภาษาอังกฤษ
4. Notebook : สมุดบันทึก
      After collecting words, you are to keep a neat record of new words in your
notebook. If possible, you should copy the phrase of sentence to illustrate its actual use. And don't forget to check the meaning of every word or sentence you copy.
      หลังจากรวบรวมคำศัพท์ เราต้องจดบันทึกคำศัพท์ใหม่ๆ ไว้อย่างเป็นระเบียบในสมุดบันทึกของเราหากเป็นไปได้ให้คัดลอกวลีหรือประโยคที่แสดงถึงวิธีใช้และอย่าลืมตรวจดูความหมายของทุกคำ

5. Word-families or roots : ตระกูลศัพท์หรือรากศัพท์
       You should have to study t groups of words that are related in structure and meaning because of prefixes , roots and suffixes. Latin and Greek parents have given us thousand of words in English.
        เราต้องศึกษาหมวดหมู่ของคำศัพท์ต่างๆ ที่สัมพันธ์กันในโครงสร้างและความหมายอันเนื่องจากคำเติมหน้า (อุปสรรค)  รากศัพท์ และคำต่อท้าย (อาคม) ตระกูลศัพท์ที่มาจากภาษาลาตินและกรีกนั้นได้ให้ศัพท์ในภาษาอังกฤษแก่เรานับพันๆ คำ

6. Word-games : เกมคำศัพท์
        Just for fun , if you can become a crossword puzzle fan and solve other games that appear in newspapers, magazines, quiz books , etc.
          All in all, you have to read , write and speak English as much as you can, in an attempt to excel in English.
          เพื่อความสนุก หากเราสามารถจะเป็นแฟนเกมปริศนาอักษรไขว้ และไขเกมคำศัพท์อื่นๆ ที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือเกมปริศนา เป็นต้น
          ทั้งนี้และทั้งนั้น เราจะต้องอ่าน เขียนและพูดภาษาอังกฤษให้ได้มากเท่าที่จะมากได้ ในความพยายามที่จะทำให้เก่งอังกฤษ

วิธีพูดภาษาอังกฤษเหมือนฝรั่ง ในสไตล์ของ แอนดรูว์ บิ๊กส์
       กฎง่ายๆ10ข้อ(แถมอีก1ข้อ)สำหรับคนไทย เพื่อให้พูดภาษาอังกฤษได้(เหมือนที่ฝรั่งพูด)
ทำไมต้องเหมือนที่ฝรั่งพูด
     ตัวอย่างที่คนไทยพูด เช่นเมื่อครูเข้าไปในห้องเรียน นักเรียนจะลุกขึ้นยืน แล้วพูดว่า"Good morning"    ครูจะตอบว่า"Good morning"
นักเรียนพูดต่อว่า"How are you"   ครูตอบว่า"Fine thanks,And you"
นักเรียนทุกคนตอบว่า "Fine thanks." แล้วนั่งลง
        ทั้งหมดข้งบนนั้น ฝรั่งอย่างแอนดรูว์ บิ๊กส์ บอกว่า นอกจากเด็กปัญญาอ่อนแล้ว ไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษแบบนี้ในโลก
ที่สหรัฐอเมริกา ถ้าจะถามว่า"คุณสบายดีไหม" เขาใช้ประโยคนี้"How are you doing?"คนอังกฤษใช้คำว่า"How are you going?"
        ดังนั้น เขาจึงสรุปให้เรารู้ว่า ภาษาอังกฤษที่คุณเรียนจากตำรา ไม่เหมือนภาษาอังกฤษที่คุณเจอในชีวิตจริง แอนดรูว์ บิ๊กส์  ใช้ประสบการณ์ของตัวเอง
ตั้งกฎขึ้นมา 10 ข้อ(แถมอีก 1 ข้อ) เพื่อมาแนะนำให้คนไทยพูดภาษาอังกฤษเหมือนที่ฝรั่งพูด
ในกฎแต่ละข้อ มีคำแนะนำ เหตุผลพร้อมตัวอย่างนำมาเล่าได้อย่างสนุกสนาน และหยิกคนไทยได้แสบๆคันๆพอสมควร
กฎ 10 ข้อ(แถมอีก 1 ข้อ) ของแอนดรูว์ บิ๊กส์ มีดังนี้
        1.RULE NUMBER ONE - FORGET THE RULES(ลืมกฎซะเถอะ)
           การพูด ไม่ใช่การเขียน ถ้าคุณจดจ่ออยู่กับเรื่องไวยากรณ์มากเกินไป คุณจะลืมเรื่องอื่นไปทันที การพูดคือ การสื่อสาร ดังนั้น กฎข้อแรกคือ ให้ลืมกฎ แล้วพูดไปเลย อ้าว!ถ้าพูดผิดล่ะ ก็ต้องอ่านกฎข้อ 2
        2.RULE NUMBER TWO - MAKE MISTAKES(จงพูดผิด)
           การพูดผิดคือบทเรียนที่เยี่ยมมาก ควรจะทำบ่อย และปล่อยให้เป็นธรรมชาติ เมื่อฝรั่งฟังใครพูดผิด เขามักจะแก้ให้ทันที เหมือนกับคนไทย เมื่อได้ยินฝรั่งพูดภาษาไทยผิด ก็จะบอกคำที่ถูกให้ ถ้าคำที่พูดผิดมันชวนขำ ใครก็ต้องหัวเราะ แต่เชื่อเถอะว่ามันไม่ใช่การหัวเราะเยาะ มันแค่ขำเท่านั้น คุณควรจะหัวเราะตามไป ครั้งต่อไปคุณจะจดจำได้และไม่พูดผิดอีกเลย
        3.RULE NUMBER THREE - DON'T TRANSLATE(ห้ามแปลตรงตัว)
           เมื่อคุณพูดภาษาไทย คุณคิดเป็นภาษาไทย เมื่อคุณพูดอังกฤษ ให้คิดเป็นอังกฤษ แต่ถ้ากลัวว่าทำอย่างนั้นแล้วจะพูดผิด ให้กลับไปอ่านกฎข้อ 2 ในเรื่องนี้ แอนดรูว์ บิ๊กส์ ยกตัวอย่าง 9 อันดับของการใช้ภาษาอังกฤษยอดแย่ของค่ายเทปชื่อดังมาให้ดูด้วย อย่างเช่น BLACK HEAD มันแปลว่า "สิวหัวดำ" น่ะ คุณเคยรู้บ้างไหม
        4.RULE NUMBER FOUR - KEEP IT SIMPLE(ใช้ภาษาแบบง่ายๆ)
          จุดประสงค์การพูดคือ ต้องการสื่อความหมายให้เข้าใจกัน เพราะฉนั้น ต้องใช้ศัพท์ที่อีกฝ่ายเข้าใจได้ง่าย ยิ่งง่ายยิ่งดีครับ
        5.RULE NUMBER FIVE - COULD YOU PLEASE SLOW DOWN?(กรุณาพูดช้าๆหน่อย)
          เป็นเรื่องจริงที่ว่า ฝรั่งบางคนพูดเร็ว บางคนพูดไม่ชัดอีกต่างหาก ปัญหานี้ควรทำอย่างไร ท่องประโยคนี้ให้ขึ้นใจเลยครับ
"Excuse me. Could you please slow down?"
ข้อสังเกตในการออกเสียง โปรดระวัง ถ้าไม่ชัดเจน ฝรั่งจะฟังเป็น Kiss me ถ้าคุณเป็นผู้หญิง แย่เลย
วิธีง่ายๆ ให้นึกถึงตัว X กับตัว Q ก็จะได้ X-Q-SMEE = Excuse me ออกเสียงตอนสุดท้ายเป็น "หมี" และ"ด๋าว"
        6.RULE NUMBER SIX - LELAX(ทำตัวสบายๆ)
           หายใจให้ลึก แล้วนึกว่าตัวเองลอยได้และยิ้ม เมื่อร่างกายของคุณรู้สึกสบาย คุณจะพูดได้คล่อง คิดได้ง่าย
        7.RULE NUMBER SEVEN - LISTEN AND COPY(ฟังแล้วเลียนแบบ)
           เปิดหูให้กว้าง ฟังวิธีที่ฝรั่งออกเสียงคำแต่ละคำ เช่น Island ที่แปลว่า "เกาะ" มีตัว s แต่ฝรั่งไม่ออกเสียง คนไทย 90.5 % ชอบออกเสียง s ในคำนี้ ซึ่งผิด ที่ถูกต้องออกเสียงว่า "ไอ-แลนด์"
         8.RULE NUMBER EIGHT - GUESS(เดา)
           ไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าใจทุกคำที่คุณได้ยินในภาษาอังกฤษ ฟังเพียงคำสำคัญๆในแต่ละประโยค เพื่อจับประเด็นหลักก็พอแล้ว ส่วนที่เหลือมักจะเป็นคำสั้นๆหยุมๆหยิมๆที่ไม่ค่อยมีความหมายมากนัก เราสามารถเดาได้
ถ้าหากจะถามว่า "แล้วเมื่อไรจะเก่งพอที่จะเข้าใจได้ทุกคำเสียที่ล่ะ" คำตอบอยู่ที่กฎข้อต่อไป
        9.RULE NUMBER NINE - GIVE YOURSELF TIME(ต้องให้เวลากับตัวเอง)
           อย่าท้อใจเด็ดขาด อย่าแม้แต่คิด คุณต้องยอมให้ภาษาอังกฤษเข้าไปในชีวิตประจำวันของคุณ และใช้มันทุกวัน ถ้าชอบวิทยุก็ฟังวิทยุ ถ้าชอบดูหนังก็ดูหนังดูทีวี ครั้งแรกอาจเข้าใจไม่เกิน 10 % ต่อไปจะดีขึ้นเรื่อยๆ ทุกเช้าคุณควรยืนหน้ากระจก ส่องดูหน้าตัวเอง ส่งยิ้มไปพร้อมพูดว่า
"I'm getting better and better at English" วันละ 5 ครั้ง พูดเหมือนว่าคุณเชื่ออย่างนั้นจริงๆ
      10.RULE NUMBER TEN - READ READ READ(อ่าน อ่าน และอ่าน)
          การอ่านเป็นวิธีการที่ดีมากที่จะช่วยให้คุณพูดภาษาอังกฤษได้ดี แต่ต้องเป็นสิ่งที่คุณอยากอ่าน ไม่ใช่ถูกบังคับให้อ่าน ชอบแฟชั่น ชอบกีฬา ชอบทำอาหาร เลือกอ่านในสิ่งที่เราชอบ โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ จะมีบางส่วนที่เราชื่นชอบอยู่ด้วยแน่นอน เมื่อคุณอ่าน ไม่ต้องเปิดพจนานุกรมทุกครั้งที่เจอศัพท์ที่ไม่เข้าใจ ให้อ่านทั้งวลี ทั้งประโยค หรือย่อหน้า แล้วลองเดาความหมายดู แต่เมื่อเจอคำศัพท์ยากนั้นบ่อยครั้งขึ้น อนุญาตให้เปิดพจนานุกรมได้
      11.แถมอีกกฎหนึ่ง - FIND A FOREIGN FRIEND(หาเพื่อนฝรั่ง)
          ถ้าคุณมีเพื่อนเป็นฝรั่ง คุณสามารถฝึกหัดภาษาอังกฤษได้ทุกวัน ใช้โทรศัพท์คุยกับเพื่อนฝรั่ง คุณเสียแค่ 3 บาทเท่านั้น และคุณยังจะได้เข้าใจวัฒนธรรมของคนต่างชาติดียิ่งขึ้นอีกด้วย จากการที่มีเพื่อน ที่ไม่ใช่คนชาติเดียวกัน

รวมข้อข้องใจกับความหมายในภาษาอังกฤษ
             ทำอะไรอย่างรีบร้อน "change horses in midstream"
             สำนวนนี้อุทิศให้ทุกท่านซึ่งมีเจ้านายที่ชอบเปลี่ยนใจบ่อยจนจะเกิดความรู้สึก น่ารำคาญ เช่นที่เริ่มทำโครงการที่นายสั่งมาและก็หมดไปครึ่งหนึ่งปุ๊บ นายก็เปลี่ยนใจอยากจะให้คุณทำอีกทางหนึ่ง ทำให้โครงการนั้นยุ่งๆ ไปหมด นี่คือความหมายของสำนวน to change horses in midstream
             ถ้าจะแปลตรงตัวหมายถึง สลับขี่ม้าตอนอยู่ท่ามกลางแม่น้ำ ทั้งๆ ที่ควรรอข้ามแม่น้ำก่อนที่จะสลับขี่ม้า นึกออกไหมครับ ความหมายคือ ทำอะไรอย่างรีบร้อน อย่างกะทันหัน โดยที่ควรรอจังหวะเวลาที่ดีกว่านี้ บางครั้งให้ความหมายว่า เปลี่ยนใจ            เช่น Sorrayut wanted to shave his head,
but he changed horses in midstream. Now he wants to grow a beard. (ทีแรกสรยุทธอยากจะโกนหัวแต่ตอนนี้เปลี่ยนใจโดยสิ้นเชิง
เขาอยากไว้เคราแทน)
             ใจเย็นๆ Take it easy หรือ Please excuse me?
             ถ้าเพื่อนกำลังอารมณ์เสีย/โกรธ อะไรบางอย่าง เราจะช่วยปลอบใจเขาให้เขาใจเย็นๆ ได้อย่างไรบ้าง ต้องไม่พูดอะไรเลยดีกว่า เพราะเวลาโกรธจัด ไม่มีคำพูดใดๆ สามารถช่วยทำให้ลดความโกรธนั้น (นอกจาก "Oh! Good news! You just won the lottery!") ควรหลบจนกว่าเขาจะหายโกรธดีกว่า ไม่ควรพูดกับคนกำลังโมโหว่า Take it easy. หรือ Dont be serious. นี่คือคำพูดคำสุดท้ายที่เราอยากจะฟังตอนที่เราหัวเสีย
            Take it easy หมายถึงใจเย็นๆ ส่วน   Dont be serious. ไม่มีความหมายในภาษาอังกฤษ เป็นการใช้คำว่า serious อย่างไม่ถูกต้อง
สรุป   ควรใช้คำพูดว่า Please excuse me. (ฉันขอตัวก่อน) และค่อยๆ กลับมาเมื่อเขาเข้าสู่สภาพปกติอีกครั้ง
            I know. กับ I do know.
            คำว่า do มีสารพัดประโยชน์ในภาษาอังกฤษ คำว่า do ถูกใช้ในประโยคบอกเล่า เพื่อให้คำถามมีน้ำหนักมากขึ้น  ส่วนความหมาย I know แปลว่า
ผมรู้ I do know แปลว่า ผมรู้ เหมือนกัน แต่ I do know แสดงว่าผู้พูดมั่นใจว่าเขาทราบดี  เช่น You're supposed to start work at 9 am.
(คุณต้องเริ่มทำงานเวลา 9 นาฬิกา) I do know that. (ก็รู้แล้วล่ะ)So why are you late then? (งั้นทำไมคุณมาสาย)
             ในตัวอย่างนี้สามารถตอบว่า I know that. โดยไม่เสียความหมาย แต่การใช้ do ทำให้คำตอบนี้มีน้ำหนักในสิ่งที่คุณพูดแรงขึ้น หรือกวนๆ ขึ้น
            ฝนตกปรอยๆ  to rain lightly หรือ to shower 
             ฝนตกปรอยๆ นั้นภาษาอังกฤษใช้ to rain lightly หรือ to shower ซึ่ง showerใช้ในรูปคำนาม หรือกริยาก็ตาม เช่น It showered briefly
the day Kanok got married.(ฝนตกปรอยๆ วันที่กนกสมรส)
             อาจใช้สำนวน to rain in dribs and drabs ซึ่งหมายถึง ฝนตกบ้าง ไม่ตกบ้าง ตกๆ หยุดๆ คงจะตรงกับคำไทยว่า ฝนตกประปราย
  It rained in dribs and drabs the day Kanok got married.(ความหมายเดิม)
            กรณีฝนตกหนัก  คือตกแบบไม่ลืมหัวลืมตานั้นคือ to rain cats dogs   เช่น It rained cats and dogs the day Sorrayut went to
 Bang Saen.(ฝนตกหนักวันที่สรยุทธไปเที่ยวบางแสน)
            งอน" และคำว่า "ง้อ"
            คำว่า "งอน" กับ "ง้อ" อยู่ในกลุ่มคำภาษาไทยที่แปลยากมาก (คำอื่นๆ ในกลุ่มคำนี้มีรวมถึง เกรงใจ กับ หมั่นไส้) คำว่า petulantหมายถึง "งอน"
ใช้ได้  อย่างน้อยได้ถ่ายทอดอารมณ์งอนอย่างดี คำว่า "ง้อ" grovel เป็นคำที่รุนแรงเกินไป ถ้าเปรียบเทียบกับ "ง้อ"
           to grovel ให้ความหมายว่า "เลียแข้งเลียขา" หรือ"หมอบคลานให้" ใครบางคนเพื่อที่จะได้อะไรบางอย่าง ความหมายนี้ไม่ตรงกับ "ง้อ"
          
          want กับ would like
          ant กับ would like ทั้งสองคำนี้แปลว่า ต้องการ ต่างกันที่ว่า would like ฟังแล้วสุภาพกว่า เหมาะกว่า เช่น What would you like
to drink ? (คุณจะรับเครื่องดื่มอะไรดี) ซึ่งฟังดีกว่า What do you want to drink ? ในรูปคำถามแล้ว Would you like …? กับ Do you want …?
ความหมายคือ คุณต้องการ อะไรบางอย่างไหม  แต่ Would you like เหมาะสำหรับการชักชวน เช่น... Would you like to come home with me ?
(คุณอยากจะกลับบ้านกับผมไหม)
          สรุปคือ would like กับ want เหมือนกับคำว่า "ต้องการ" กับ "เอา" ในภาษาไทย

          R.I.P.
          R.I.P. สามตัวอักษรนี้มักจะเจอในหินบนหลุมฝังศพ เป็นภาษาเขียนไม่ใช่ภาษาพูด ย่อมาจาก Rest In Peace เป็นสำนวนหมายถึง ขอให้หลับสบาย
อย่าใช้กับคนที่ยังไม่ได้สิ้นชีวิตนะครับ R.I.P.ใช้กับศพอย่างเดียว ไม่ใช่กับมนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่

         get on, get off
        คำว่าขึ้นรถกับลงรถ และขึ้นเรือกับลงเรือ และขึ้นเครื่องบินกับลงเครื่องบินต่างกันหรือเหมือนกัน get on คือขึ้น, get off คือลง ใช้กับ รถเมล์ รถไฟ
เรือ เครื่องบิน จักรยาน อะไรก็ได้ที่ไม่เป็นรถเก๋งโดยมีข้อแม้ดังนี้
  -สำหรับ รถเก๋งรวมถึงรถแท็กซี่กับรถตุ๊กตุ๊ก ให้ใช้ get into กับ get out of ในความหมายว่า ขึ้นรถ ลงรถ
  -คำว่า board เมื่อถูกใช้เป็น กริยา หมายความว่า ขึ้นรถโดยสาร เช่น board a bus, board a train, board a plane
  -คำว่า alight เมื่อเป็น กริยามีความหมายว่า ลง ใช้กับทุกอย่าง ยกเว้นเรือ ครับ
  -สำหรับการ ลงจากเรือ เรามีคำว่า disembark ค่อนข้างเป็นภาษาทางการ
  -คุณสามารถใช้คำว่า take หรือ catch ในความหมายว่า ขึ้น หรือใช้บริการรถโดยสาร ทุกประเภท  เช่น take a train, catch a bus, take a plane,
catch a tuk-tuk, take a taxi
 
        ดูแล to take somebody under (one's) wing
      "He was the person who took me under his wing when I came here." เขาเป็นคนที่ดูแลฉันูเมื่อฉันมาที่นี่ครั้งแรก
สำนวน to take somebody under (one's) wing หมายความว่า ดูแลหรือ take care ใครบางคน สำนวนทำให้เราคิดว่าตัวเองเป็นนกและเราใช้ปีกของเรามาคลุมนกตัวเล็ก ไม่ให้พบกับภัยอะไรเลย  เช่น...I was scared when I first met Sorrayut but he took me under his wing
and now I'm nearly as talented as he is. (ผมกลัวตอนพบคุณสรยุทธเป็นครั้งแรกแต่เขาก็ดูแลสั่งสอนผมอย่างดีจนกระทั่งวันนี้ ผมเกือบจะเก่งพอๆ
กับเขา)If you hadn't taken me under your wing, I would be on the streets by now.(ถ้าคุณไม่ได้มาดูแลผม ผมก็คงเป็นคนเร่ร่อนในปัจจุบันนี้)

       on time กับ in time
        on time หมายถึง ตรงเวลา in time แปลว่า ภายในเวลาที่กำหนดไว้  Sorrayut is never on time. (สรยุทธไม่เคยตรงเวลา)
        in time ความหมายคล้ายๆ กันเพียงแต่ว่าอาจจะเพิ่มความหมายตรงที่ว่า ไม่ใช่ ใช่ว่า เขาจะมาตรงเวลาใดเวลาหนึ่ง อาจจะมาก่อนเวลาก็ได้ แต่ที่แน่คือเขา
จะไม่มาสาย เช่น Dont worry. Hell arrive in time. (ไม่ต้องกังวล เขาจะมาถึงภายในเวลาที่เรากำหนดไว้)
        in time มีอีกความหมายหนึ่งคือ ในที่สุด หรือ ถ้าจะให้เวลาอีก
เช่น Hes not very good now. But in time, hell be okay. (ตอนนี้เขาไม่ค่อยดีนัก แต่ถ้าจะให้เวลาอีกเขาก็ต้องดีขึ้น) In time, you will be
excellent at English. (ในที่สุดคุณจะเก่งมากกับภาษาอังกฤษ)

       a man of one word..
       สำนวน a man of ones word หรือ a man of his word ้ ความหมายคือ คนนั้นซื่อสัตย์ ไว้ใจได้ ทำตามที่เขาสัญญา คำว่า word ที่นี่หมายถึง
สัญญา หรือสิ่งที่คุณได้ให้สัญญาเอาไว้ เช่น..I give you my word; I have never taken drugs. (ผมสาบานว่าไม่เคยเสพยาเสพติด) จากความหมายนี้
จึงได้ a man of his word หรือว่า ผู้ชายที่ทำตามสัญญา เช่น.Sorrayuts a man of his word. He said hed run naked down Silom Road if Manchester United beat Liverpool. (สรยุทธทำตามที่เขาสัญญาไว้ เขาเคยสาบานว่าจะแก้ผ้าวิ่งตามถนนสีลมถ้า แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ ลิเวอร์พูล)
        ตัวอย่างนี้เราสันนิษฐานว่าสรยุทธได้วิ่งแก้บนเรียบร้อยแล้วที่น่าสังเกตคือมีแต่ man of his word ไม่เคยได้ยินใครพูดถึง a woman of her word
       Pass away, dead, die  
       to die แปลว่า ตาย , to pass away แปลว่า ตายเหมือนกัน แต่ to pass away เป็นภาษาทางการมากกว่า die เช่น My grandmother died last night. (เมื่อคืนคุณยายของผมตาย)   My grandmother passed away last night. (เมื่อคืนคุณยายของผมเสียชีวิต)  ทั้ง 2 ประโยคให้ความหมายเดียวกัน แต่ pass away ฟังแล้วนิ่มกว่า บางคนใช้ to pass on ซึ่งมีความหมายเดียวกับ pass away เช่น.Most World War II survivors have passed
on now.(ผู้รอดชีวิตจากสงครามโลกครั้งที่สอง ส่วนใหญ่ก็ได้เสียชีวิตไปแล้ว)
        dead เป็น adjective ใช้อธิบายอะไรที่เสียชีวิตแล้ว เช่น My pet rabbit is dead. (กระต่ายที่ผมเลี้ยงตาย) จะเห็นว่า dead ใช้เพื่ออธิบายสภาพของสิ่งนั้นคือ ตายไปแล้ว แต่ died ใช้เมื่อพูดถึงจุดใด จุดหนึ่งของเวลา ซึ่งสิ่งนั้นได้แปรสภาพจากสิ่งที่เป็น ไปยังสิ่งที่ไม่เป็นแล้ว
       Say 'em loud, say'em clear
       Say em loud กับ say em clear. คำว่า em นี้เป็นภาษาพูด ย่อมาจาก them แต่ถูกย่อลง เนื่องจากว่าพูดเร็วแถมไม่ใส่ใจเรื่องการออกเสียง
อย่างถูกต้อง คำว่า them ในสถานการณ์นี้ มีความหมายว่า คำพูด ประโยค Say em loud จึงให้ความหมายว่า พูดดังๆ และ Say em clear หมายถึง
ให้พูดชัดๆ
      up to กับ no good
      to be up to หมายถึง ทำ อะไรบางอย่าง เช่นในคำถามนิยมว่า What are you up to? (ทำอะไรอยู่)  การใช้ up to อย่างนี้ให้ความหมายเป็นนัยว่า สิ่งที่กระทำอยู่นั้นอาจเป็นสิ่งที่ไม่ดีหรือไม่ถูก อาทิ คุณพ่อคุณแม่ใช้ What are you up to? กับลูกเวลาเขาเมื่อสงสัยว่าลูกกำลังแอบทำอะไรที่ไม่ดี หรือซน จากความหมายนี้เราสามารถเดาความหมายของ to be up to no good ซึ่งหมายถึง ทำอะไรที่ไม่ดี
       ดังนั้น I knew by the look on his face he was up to no good. ให้ความหมายว่า ผมรู้จากการแสดงออกทางใบหน้าว่าเขาทำอะไรไม่ดี
      envy กับ jealous.
       envy กับ jealous ไม่เหมือนกันคือ jealous แรงกว่า envy เพราะ envy เป็นทั้งนามและกริยา ในตัวอย่างที่เป็นกริยา I envy you หมายถึง
ผมอิจฉาคุณ แต่ผมยังชอบคุณไม่ถึงเกลียด เช่น..I envy Sorrayut. Hes tall, handsome and he has a beautiful girlfriend.(ผมอิจฉาคุณ
สรยุทธ เขาตัวสูง รูปหล่อ และยังมีแฟนสวยงาม...)แต่ jealous นำมาใช้เป็นกริยาไม่ได้ จะใช้ I jealous you. ไม่ได้ ต้องเป็น I am jealous of you.
เพราะว่า jealous เป็น adjective ครับ คำนามคือ jealousy
       สรุปว่า envy = verb + noun = อิจฉา envious = adjective = ซึ่งอิจฉา  jealous = adjective = ซึ่งอิจฉา jealousy = ความอิจฉาริษยา

วันพุธที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2555

10 วิธีพูดให้สำเนียงเหมือนฝรั่ง

ไปอ่านเจอเคล็ดลับการฝึกตัวเองให้พุดสำเนียงเหมือนเจ้าของภาษามาค่ะ ก็เลยนำมาแบ่งบันให้เพื่อนๆ ได้อ่าน ลองไปฝึกกันดูนะคะ เป็นวิธีที่สามารถทำได้จริงด้วยตนเองด้วย สู้ๆ ค่ะ กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว ภาษาอังกฤษก็ต้องฝึกทุกวันเหมือนกันถึงจะเก่ง

1. ดูปากคนอื่นเวลาเขาพูดและพยายามทำตาม วิธีนี้อยู่บ้านก็ฝึกได้ เช่น เวลาเราดู โทรทัศน์ก็ลองทำปากเลียบแบบในทีวีและพูดตาม

2. พูดช้าๆ ไว้ (จนกว่าเราจะพูดสำเนียงที่ถูกต้องได้) การพูดช้าๆ ให้คู่สนทนาฟังรู้เรื่อง แน่นอนว่าต้องดีกว่าพูดเร็วปรื๋อฟังเผินๆ สำเนียงดี แต่ฝรั่งงงเพราะฟังเราไม่รู้เรื่องโขเลยล่ะค่ะ

3. ฟังเพลงภาษาอังกฤษ วิธีนี้น่าจะถูกใจใครหลายๆ คน ได้ฝึกภาษา ได้ศึกษาความแตกต่างของดนตรีในแต่ละภาษา แถมยังเพลินอีกต่างหาก

4. ใช้พจนานุกรม พออ่านมาถึงตอนนี้หลายคนบอกว่า ก็ใช้อยู่นะ เอ๋.. ไม่ใช่แค่ใช้หาศัพท์ค่า แต่คุณในฐานะผู้กำลังมีความมุ่งมั่นจะพูดภาษาอังกฤษเก่ง ถ้าเกิดว่าสามารถใช้ตัว Phonetics (สัทอักษร - สัญลักษณ์ที่ถอดเสียงคำอ่านภาษาอังกฤษ) ที่อยู่ในดิกชันนารีได้ การจะพูดให้เหมือนฝรั่งก็ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว เพราะคุณจะมีเสียงของทุกคำอยู่ในมือ เพียงแค่พลิกเปิดหาในดิกชันนารี แล้วออกเสียงตามเท่านั้น น่าสนใจใช่ไหมล่ะค่ะ

5. ทำบัญชีคำศัพท์ใช้บ่อยที่คุณคิดว่าออกเสียงยากแล้วลองนำคำศัพท์พวกนี้ไปให้คนที่พูดภาษาอังกฤษเก่งเค้าช่วยออกเสียงเป็นตัวอย่างให้ โอ๊ะ แต่ถ้าคุณกำลังคิดว่า"รอบๆตัวฉันไม่มีใครมีคุณสมบัตินี้ซักคน แล้วจะทำไงดีล่ะเนี่ย" ก็ข้ามไปอ่านข้อต่อไปเลยค่า

6. หาหนังสือที่มีเทปหรือซีดีไว้หัดพูดตามได้มาฝึก วิธีนี้เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยคุณได้ฝึกอ่านจากหนังสือ แล้วออกเสียงตามจากเทปหรือซีดี หรือจะฝึกฟังก่อนแล้วค่อยไปเปิดหนังสือเช็ค ความแม่นยำของของทักษะการฟังคุณก็ยังได้ เวิร์กแน่นอนค่า

7. ออกเสียงท้ายคำ อีกปัญหาหนึ่งของคนไทยก็คือการละเลยการออกเสียงท้ายคำนะคะ แต่ถ้าอยากพูดให้เหมือนคุณฝรั่ง ต่อไปนี้ต้องเตือนตัวเองไม่ให้ลืมจุดนี้เด็ดขาดนะจ๊ะ โดยเฉพาะเสียง S และ ED การออกเสียงท้ายคำจะช่วยให้กล้ามเนื้อปากที่ใช้เวลา ออกเสียงภาษาอังกฤษของคุณ แข็งแรงขึ้นค่ะ

8. อ่านภาษาอังกฤษออกเสียงดังๆ ทุกๆ วัน วันละ 15-20 นาที จากผลการวิจัยที่ชี้ว่าการทำ อย่างนี้ติดต่อกันเป็นเวลา 3 เดือน จะช่วยให้กล้ามเนื้อปากแข็งแรงเหมาะสำหรับการฝึกพูดภาษาใหม่ๆ

9. อัดเสียงตัวเองเอาไว้ฟังเพื่อเช็คข้อผิดพลาดของตน คนเราส่วนใหญ่มักจะฟังที่คนอื่นพูด แต่ไม่ค่อยจะสนใจเสียงที่ตัวเองพุดออกไปเท่าไหร่ แต่ถ้าคุณอยากรู้ข้อผิดพลาดของตัวเองล่ะก็ จงทำค่ะ เพราะเมื่อเรารู้ว่าเราบกพร่องตรงไหนแล้ว ก็จะได้แก้ปัญหาให้ถูกจุดยังไง ล่ะคะ

10. อดทนฝึกๆๆๆ หัดๆๆๆๆ และพยายามไปเรื่อยๆ มีคนจำนวนไม่น้อยเลยล่ะค่ะที่หวังจะ เก่งขึ้นมาให้ได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว และพอไม่ได้ก็จะเกิดอาการท้อแท้ขึ้นมาอย่างรวดเร็วเช่นกัน คนเราเก่งไม่ได้ในชั่วข้ามคืนหรอกนะคะ ต้องท่องเอาไว้ค่ะว่า ความ พยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่นไม่ยากเลยใช่ไหมล่ะคะ โดยเฉพาะข้อ 10 นั้น ต้องจำไว้ให้แม่นเลยนะคะที่มา http://www.interactiveenglishlearning.com/

Wealthy Asian nations lead in education, studies find

(Reuters) - Relatively wealthy Asian nations including South Korea and Singapore, as well as Hong Kong, led a ranking of international student achievement, a result that researchers said reflected a strong societal commitment to primary education. Morocco and several Middle Eastern nations occupied the bottom of the rankings of fourth-grade student performances in reading, science and math, reflecting the challenges caused by poverty and relatively new educational systems, according to two Boston College-backed studies released on Tuesday. The studies found that international student achievement generally has improved in the past decade as more nations have increased their focus on education, with top-performing Asian countries holding their lead in math and science and gaining ground in reading. "In the beginning, when we were assessing the reading, they were not necessarily at the top of the charts," said Ina Mullis, a Boston College professor who worked on the studies. "A decade later they are." The improvement reflects a focused effort both by parents to read more to their children in the home and official efforts to make school reading programs more rigorous, Mullis said. The Trends in International Mathematics and Science Study evaluated 63 countries' performance in science and math while the Progress in International Reading Literacy Study evaluated 49 nations' performance in reading. Hong Kong, Russia and Finland recorded the top-three performances in fourth-grade reading, the studies found. In science, South Korea, Singapore and Finland led, with Singapore, South Korea and Finland leading in math. The United States ranked sixth in fourth-grade reading, 11th in science and seventh in math. Canada ranked 12th in fourth-grade reading. The nation did not participate in the science and math rankings, although the provinces of Quebec, Ontario and Alberta did and all three ranked above average in each subject. LITERACY CHALLENGE The poorest reading performances came in Morocco, Oman and Qatar. Yemen, Morocco and Kuwait trailed in math, with Yemen, Morocco and Tunisia occupying the bottom spots in science. Their struggles reflect the difficulty of establishing new school systems, said Boston College professor Michael Martin, another study author. "Education is a multi-generational enterprise, so if you go back 30 or 40 years, many of these countries really did not have an education system, with only a small group of people getting a decent education," Martin said. "When parents haven't been to school and are not literate. This is a big problem to overcome." While well-funded, well-organized school systems produced the most able students, the studies found performance was not purely dependent on schools. The top performing students were those children raised in homes where books were present and they regularly were read to and saw others reading or engaged in math-related activities like games. The math and science studies found many countries did better in teaching the basic rules of those subjects than in teaching their application, with students struggling to think of ways to use their knowledge to analyze a problem. The rankings are based on 900,000 tests of students in their fourth year of formal schooling, typically aged 10 or 11, in countries that opt into the studies. The math and science study is conducted every four years and the reading study every five. They overlapped this year by coincidence. Martin said the studies aimed to improve world educational standards by showing educators what other countries had achieved. "One thing you can learn from these is what's possible," Martin said. "That comes as a shock sometimes, what students in other countries can actually do and the gap sometimes between what your students are achieving and what students in other countries are achieving." (Reporting By Scott Malone; Editing by Bill Trott) (รอยเตอร์) - รวยค่อนข้างประเทศในเอเชียรวมถึงเกาหลีใต้และสิงคโปร์เช่นเดียวกับฮ่องกงนำการจัดอันดับของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่างประเทศผลที่นักวิจัยกล่าวว่าสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของสังคมที่แข็งแกร่งในการศึกษาระดับประถมศึกษา โมร็อกโกและอีกหลายประเทศตะวันออกกลางครอบครองด้านล่างของการจัดอันดับของสี่เกรดการแสดงของนักเรียนในการอ่านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่เกิดจากการความยากจนและค่อนข้างใหม่ระบบการศึกษาตามสองบอสตันศึกษาวิทยาลัยได้รับการสนับสนุนการปล่อยตัวเมื่อวันอังคารที่ การศึกษาพบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่างประเทศโดยทั่วไปมีการปรับปรุงในทศวรรษที่ผ่านมาเป็นประเทศอื่น ๆ ได้เพิ่มขึ้นโฟกัสของพวกเขาเกี่ยวกับการศึกษากับประเทศในเอเชียที่มีประสิทธิภาพสูงสุดถือเป็นผู้นำในคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์และดึงดูดพื้นในการอ่าน "ในตอนแรกตอนที่เรากำลังประเมินการอ่านพวกเขาไม่จำเป็นต้องที่ด้านบนของแผนภูมิ" Ina Mullis, บอสตันวิทยาลัยศาสตราจารย์ที่ทำงานเกี่ยวกับการศึกษาดังกล่าว "ทศวรรษต่อมาพวกเขาเป็น." ปรับปรุงสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามที่มุ่งเน้นทั้งจากพ่อแม่เพื่ออ่านข้อมูลเพิ่มเติมให้กับเด็กของพวกเขาในความพยายามอย่างเป็นทางการที่บ้านและเพื่อให้การอ่านโปรแกรมโรงเรียนที่เข้มงวดมากขึ้น, Mullis กล่าว แนวโน้มในวิชาคณิตศาสตร์ระหว่างประเทศและการศึกษาวิทยาศาสตร์การประเมิน 63 ประเทศ 'ประสิทธิภาพในวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ในขณะที่ความคืบหน้าในการศึกษาความรู้การอ่านระหว่างประเทศประเมิน 49 ประเทศ' ประสิทธิภาพในการอ่าน ฮ่องกง, รัสเซียและฟินแลนด์บันทึกการแสดงบนสามสี่ในการอ่านระดับการศึกษาพบว่า ในสาขาวิทยาศาสตร์เกาหลีใต้สิงคโปร์และฟินแลนด์นำด้วยสิงคโปร์เกาหลีใต้และฟินแลนด์ชั้นนำในคณิตศาสตร์ สหรัฐอเมริกาอันดับที่หกในการอ่านสี่เกรด 11 ในด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ในวันที่เจ็ด แคนาดาอันดับ 12 ในการอ่านสี่เกรด ประเทศไม่ได้มีส่วนร่วมในการจัดอันดับวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์แม้ว่าจังหวัดควิเบก Ontario และอัลเบอร์ต้าได้และทั้งสามอันดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยในแต่ละวิชา ท้าทายความรู้ ยากจนการแสดงการอ่านมาในโมร็อกโก, โอมานและกาตาร์ เยเมน, โมร็อกโกและคูเวตหายในวิชาคณิตศาสตร์ที่มีเยเมน, โมร็อกโกและตูนิเซียครอบครองจุดต่ำสุดในวิทยาศาสตร์ สะท้อนให้เห็นถึงการต่อสู้ของพวกเขายากลำบากในการจัดตั้งระบบโรงเรียนใหม่บอสตันวิทยาลัยศาสตราจารย์ไมเคิลมาร์ตินผู้เขียนกล่าวว่าการศึกษาอื่น "การศึกษาเป็นองค์กรหลาย generational ดังนั้นหากคุณกลับไป 30 หรือ 40 ปีหลายประเทศเหล่านี้จริงๆไม่ได้มีระบบการศึกษามีเพียงกลุ่มเล็ก ๆ ของคนรับการศึกษาที่ดี" มาร์ตินกล่าวว่า "เมื่อพ่อแม่ยังไม่ได้เคยได้ไปโรงเรียนและไม่รู้. นี้เป็นปัญหาใหญ่ที่จะเอาชนะ." ขณะที่ดีรับเงินที่ดีจัดระบบโรงเรียนที่ผลิตนักเรียนสามารถมากที่สุดการศึกษาพบว่าประสิทธิภาพไม่ได้อย่างหมดจดขึ้นอยู่กับโรงเรียน นักเรียนที่มีประสิทธิภาพสูงสุดเป็นเด็กที่เติบโตขึ้นมาในบ้านที่หนังสือในปัจจุบันและพวกเขาเป็นประจำถูกอ่านให้และเห็นคนอื่นอ่านหรือเข้าร่วมในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับคณิตศาสตร์เช่นเกม การศึกษาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์พบหลายประเทศทำได้ดีในการเรียนการสอนกฎพื้นฐานในวิชาเหล่านั้นในการสอนกว่าโปรแกรมของพวกเขามีนักเรียนดิ้นรนเพื่อคิดหาวิธีที่จะใช้ความรู้ของพวกเขาในการวิเคราะห์ปัญหา การจัดอันดับจะขึ้นอยู่กับการทดสอบ 900,000 ของนักเรียนในปีที่สี่ของพวกเขาอย่างเป็นทางการของการศึกษาอายุปกติ 10 หรือ 11 ในประเทศที่เลือกในการศึกษา คณิตศาสตร์และการศึกษาดำเนินงานด้านวิทยาศาสตร์ทุกสี่ปีและการศึกษาการอ่านทุกห้า พวกเขาซ้อนทับในปีนี้โดยบังเอิญ มาร์ตินกล่าวว่าการศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงมาตรฐานการศึกษาโลกโดยการแสดงการศึกษาสิ่งที่ประเทศอื่น ๆ ที่ประสบความสำเร็จ "สิ่งหนึ่งที่คุณสามารถเรียนรู้จากสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เป็นไปได้" มาร์ตินกล่าวว่า "ที่มาพร้อมเป็นช็อตบางครั้งสิ่งที่นักเรียนในประเทศอื่น ๆ สามารถทำได้จริงและช่องว่างระหว่างสิ่งที่บางครั้งนักเรียนของคุณจะประสบความสำเร็จและสิ่งที่นักเรียนในประเทศอื่น ๆ จะบรรลุ." (รายงานโดยสกอตต์มาโลน; การแก้ไขโดยบิลทร็อตี)

A panda walks into a cafe

A panda walks into a cafe. He orders a sandwich, eats it, then draws a gun and fires two shots in the air. "Why?" asks the confused waiter, as the panda makes towards the exit. The panda produces a badly punctuated wildlife manual and tosses it over his shoulder. "I'm a panda," he says, at the door. "Look it up." The waiter turns to the relevant entry and, sure enough, finds an explanation... "Panda. Large black-and-white bear-like mammal, native to China. Eats, shoots and leaves." Funny Part You will understand the joke if you know that the author play with word "shoot and leave." The meaning of shoot in the manual means "a part of bamboo" and leaves mean "a green part of tree" but panda misunderstood the meaning. English Jokes

วันเสาร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เรียนเสริมภาษาอังกฤษดีไหม

ภาษาเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจพอๆ กับวิชาด้านอื่นๆ แต่วิชาด้านภาษาต้องได้รับการฝึกฝนใช้งานบ่อยๆ ไม่แปลกเลยที่คนไทยที่ไปเรียนต่างชาติจึงสามารถพูดภาษาอังกฤษได้เก่ง เพราะต้องฝึกฝนทุกวันแต่จะดีไหมถ้าเราใช้เทคโนโลยีในการช่วยพัฒนาด้านภาษาลองดูสักโปรแกรมที่ดีๆตัวอย่างเช่น tell me more online

วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เรียนภาษาอังกฤษอย่างไรได้ผลดี

เมื่อต้องพัฒนาภาษาอังกฤษต้องไปนั่งเรียนกับเด็กๆคุณจะรู้สึกอย่างไรขอแนะนำให้เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ดีกว่าเรียนเมื่อไหร่ก็ได้และเป็นระบบมัลติมีเดียเรียนสนุกไม่มีเบื่อได้คุยกับฝรั่งไม่ต้องอายเพิ่มความมั่นใจที่เว็บไซต์ www.justmyenglish.com

วันอังคารที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ 1 นาที


Are you doing?  (Present Continuous Question)

Positive (ปัจจุบันกาล)
I  am
 doing/working/going/staying
He/she/it  is
 doing/working/going/staying
We / you/ they  are
  doing/working/going/staying




Question (คำถาม)  
 Am  I          
doing/working
 going/staying        Is  He/she/it        
doing/working
going/staying     Are  we/you/they  
doing/working
/going/staying  






ประโยค Yes/ No question ให้นำ is/ am/ are ขึ้นต้นประโยค นอกนั้นก็เหมือนเดิม เช่น

  Is it raining?  
  ฝนกำลังตกใช่  มั้ย        Are you driving a car?
  คุณกำลังขับรถใช่มั้ย      Is she working today?
วันนี้เธอทำงานใช่มั้ย


สำหรับ Wh-question ตัวอย่างดังนี้

What are you wearing?   คุณกำลังใส่อะไร

What/ Who/ Where/ How/why + verb to be + Verb-ing + (ส่วนเติมเต็ม) ?



Can/Could / Would you..?

Can + base form (can do / can play / can come, etc.)
  I / we / you / they  He / she / it    
 Can do.

 Can’t / cannot  do.

can แปลว่าสามารถมีรูปอดีตคือ could ซึ่งใช้ได้กับทุกประธานและทุกพจน์ มีหลักการใช้ดังนี้
can ใช้ได้กับทุกประธาน ตามด้วยกิรยาช่อง 1 เสมอ เช่น และประธาน + ด้วย can’t หรือ cannot เป็นประโยค
ปฏิเสธ

ตัวอย่างประโยคที่ใช้ can
    I can play the piano.ฉันสามารถเล่นเปียโนได้
    She can eat durian.เธอสามารถทานทุเรียนได้
    He can come to see me.เขาสามารถมาพบฉันได้
    Suda can drive a car.สุดาขับรถได้
    I can speak Japanese.ฉันสามารถพูดภาษาญี่ปุ่นได้  


ตัวอย่างประโยคที่ใช้ can’t  / cannot
  I can’t speak Chinese.ฉันพูดภาษาจีนไม่ได้
  I cannot eat spicy food.ฉันกินอาหารเผ็ดไม่ได้
  He can’t come to the party tonight.เขาไม่สามารถมางานปาร์ตี้ได้
  She couldn’t go to school.เธอไปโรงเรียนไม่ได้


Must และ have to
Must + base form (must be, must know, etc)


ใน การใช้  must และ have to  จะใช้ในการพูดถึงความจำเป็น ที่จะต้องทำอะไรบางอย่าง
ซึ่งอาจจะใช้ได้ทั้ง 2 คำ   เช่น  I must go.  หรือ   I have to go.  แต่ในบางครั้งความหมายอาจจะแตกต่างกัน

Must (ต้อง)  ใช้ในความหมาย  เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว  หรือความรู้สึกส่วนตัว  เช่น  You must do it.
(คุณจะต้องรู้)    You must meet him (คุณจะต้องเจอเธอ)

Have to (ต้อง) ไม่เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว  เราใช้  Have to  สำหรับสิ่งที่เป็นจริง ไม่เกี่ยวกับความรู้สึกส่วนตัว
เช่น  You have to turn right. (คุณจะต้องเลี้ยวขวา)     I have to get up 6 am. (ฉันจะต้องตื่น ตอน 6 โมงเช้า)

ถ้า หากรู้สึกไม่แน่ใจว่าควรจะใช้อะไรดีระหว่า ง  must   หรือ Have to แนะนำว่าให้ใช้  Have to จะดีกว่าเพราะว่าสมารถใช้ได้เหมาะสมในทุกสถานการณ์  


Must สามารถใช้ได้เมื่อพูดถึงเรื่องในปัจจุบัน หรืออนาคต  แต่ใช้ในรูปอดีตไม่ได้
  I must go now. ฉันต้องไปตอนนี้
  We must go tomorrow.พวกเราต้องไปพรุ่งนี้
  Have to สามารถใช้ได้ในทุกรูป ตัวอย่าง
  I had to go to school. ฉันต้องไปโรงเรียน
   you have to go to Siam? คุณต้องไปสยาม
  Malee  have to work on Sunday.มาลีต้องทำงานในวันอาทิตย์


และเมื่อใช้  Have to ในประโยคคำถามและปฏิเสธ  โดยปกติสามารถใช้กับ do / does/ did
  Why did you have to go to Siam? ทำไมคุณต้องไปสยาม
  Why did Malee  have to work on Sunday. ทำไมมาลีต้องทำงานในวันอาทิตย์

เรา มักจะใช้ can หรือ could เพื่อการขอสิ่งของจากผู้อื่น หรือ เพื่อขอร้องให้ผู้อื่นทำบางสิ่งบางอย่างให้   วาง can ไว้หน้าเมื่อต้องการสร้างประโยคคำถาม  และนอกจากนั้น เรายังสามารถใช้ will หรือ would  เพื่อขอร้องให้ผู้อื่น ทำบางอย่างให้กับเราได้เช่นเดียวกัน เช่น

Request (การขอร้อง) เช่น
  Can you open the door, please?  กรุณาเปิดประตูหน่อย
  Could you tell me how to go the airport?   ณาบอกทางไปสนามบินหน่อย
  Will you do me a favour? คุณช่วยฉันหน่อยได้ไหม

Asking for things (การขอ) เช่น
  Could I have the sugar, please? ขอน้ำตาลหน่อย
  Can I have the orange, please? ขอซื้อส้มหน่อย


Can I have the orange, please? ขอซื้อส้มหน่อย
  Can I speak to Malee, please? ขออนุญาตพูดกับคุณมาลี
  May I come in? ขออนุญาตเข้าไป


Offering and inviting (การเสนอและการเชื้อเชิญ)
  Would you like a cup of coffee?  คุณต้องการกาแฟสักถ้วยไหม
  Would you like to come to dinner? คุณต้องการมาทานอาหารเย็นไหม
  Will you go to Phuket with us?  คุณต้องการไปภูเก็ตกับเราไหม

วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

อยากฟื้น Speaking Skill เรียนภาษาอังกฤษสำหรับธุรกิจที่ไหนดีคะ?

พอดีเราจบมหาวิทยาลัยอินเตอร์มา ตั้งแต่มาทำงานไม่ได้ Speaking เลยค่ะ ใช้แต่ Writing

ลิ้นแข็งไปหมดแล้วจนไม่กล้าพูด กลัวพูดผิด และคิดไม่ออกว่าจะพูดยังไง

ส่วน Writing, Reading, Listening เราไม่ค่อยมีปัญหานะคะ

ตอนนี้อยากจะขยับขยายไปทำงานบริษัทต่างชาติ เกรงว่าจะพูดไม่คล่อง

ได้เว็บหนึ่งมา http://www.justmyenglish.com กับ http://www.interactiveenglishlearning.com ครอสราคาไม่แพง 5 พันบาท ต่อปี เรียนกี่ครั้งก็ได้
สมัครแล้วดีมาก เลยอยากจะแนะนำเพื่อนๆ

ตัวอย่างข้อสอบ

ยกตัวอย่างเช่นข้อนี้

She asked for his _________ about taking a part time job.
A) advise                                              B) advice
C) advisor                                             D) advisable

รู้แต่ grammar ขั้นพื้นฐาน ทำได้สบายๆ

นั่นก็คือ หลัง his น่าจะตามด้วย noun ดังนั้น A) advise (verb) ผิด และ D) advisable  (adjective) ผิด
คราวนี้เหลือ

C) advisor  B) advice

แต่ C) advisor (noun) ผิด เพราะเข้าข่าย ask for somebody เท่ากับถามใครบางคน แต่ถ้า somebody กลายเป็น consumer แล้วพอต่อด้วย about มันอ่านแล้วไม่ค่อยจะได้ใจความที่เข้าท่านัก
เหลือ B) advice (noun) ถูก เพราะอันนี้เข้าข่าย ask for something คือถามหาอะไรบางอย่าง แล้ว something อันนั้นคือ advice about...(คำแนะนำเกี่ยวกับ) ซึ่งมันอ่านรู้เรื่องมากที่สุด ข้อนี้จึงถูก

ทีนี้มาดูข้อนี้ไม่หมูนะ
The salesman was anxious to meet his ________ for the month.
A) quota                                             B) sales
C) number                                            D) consumer

C) number ผิดเพราะอ่านไม่ได้ใจความ
D) consumer ถ้าเลือกข้อนี้กลายไป พบปะผู้บริโภคของเขาสำหรับเดือนนี้ มันแปลกๆ
B) sales ข้อนี้จะถูกได้ต้องเป็น
The salesman was anxious to meet his sales target for the month.
แต่ target มันหายไป ดังนั้น B) sales จึงผิด
คราวนี้มาเข้าประเด็นแล้วนะ ซึ่งสำคัญ
คุณต้องรู้ว่า meet ที่ "ไม่ได้แปลว่าพบ" น่ะมันมีกี่รูปแบบ...โดยเคร่าๆ
ลองดูกลุ่มคำพวกนี้ดูให้ดีๆ เช่น
meet the demand สนองความต้องการ หรือทำตามข้อเรียกร้อง
meet expectations (ทำได้) สมตามที่คาดหวัง
3 ชุดนี้ความหมายคล้ายๆกัน
meet targets บรรลุเป้าหมาย
meet goals บรรลุจุดมุ่งหมาย
meet objectives บรรลุวัตถุประสงค์
คราวนี้พอเจอ คำว่า quota  ถ้าใครรู้แค่ความหมายว่า "จำนวนจำกัดที่กำหนดไว้" เพราะจะไปคิดถึง
exceed quota เกินโควต้า ไปซะฉิบ
แต่ถ้ารู้ว่า quota แปลว่า target ก็ได้
ก็จะรู้ว่า
The salesman was anxious to meet his sales target for the month.
เขียนได้อีกอย่างหนึ่งเป็น
The salesman was anxious to meet his sales quota for the month.
พนักงานขายกระวนกระวายใจอยากจะขายทำเป้าให้ได้สำหรับเดือนนี้
มันก็เขียนได้เหมือนกัน เพราะมีการใช้คำเป็นชุดร่วมกันคือ
meet quota นั่นเอง
ดังนั้นคำตอบที่ถูกต้องก็คือ A) quota
.........................................................................
ลองมาดูคำศัพท์ที่แปลเป็นกลุ่มคำกัน อีก
raise your hand ยกมือขึ้น
raise ducks and pigs เลี้ยงเป็ดและหมู
raise crops ปลูกพืช
get a pay raise ได้เงินค่าจ้างเพิ่ม
raise an issue หยิบยกประเด็นขึ้นมา
raise the amount เพิ่มจำนวน
raise the standard ยกระดับมาตรฐาน
raise one's eyebrows "เลิกคิ้ว" หมายถึง "รู้สึกว่า (สิ่งที่เห็นนั้น) มันไม่เข้าท่า"
raise a smile ฝืนยิ้ม (เมื่อยามเศร้า)
raise money รวบรวมเงิน (เพื่อเอาไปใช้ประโยชน์อะไรบางอย่าง)
raise the roof ส่งเสียงดัง ตอนร้องเพลงหรือเฉลิมฉลอง
raise the spectre of something ทำให้หวาดหวั่นว่าอาจมีเหตุการณ์ที่น่ากลัวเกิดขึ้นในเร็วๆนี้
เช่น The violence has raised the spectre of civil war.
raise its (ugly) head (ปัญหา) โผล่มาให้เห็น (ซึ่งถึงคราวแล้วที่จะต้องแก้ไข)
เช่น Another problem then raised its ugly head.
I'll raise you 10,000 baht = เก 10,000 บาท (ใช้เวลาเล่นไพ่)
raise hell โวยวายด้วยความโกรธ หรือแค่ส่งเสียงหนวกหู
ให้ดูดีๆว่า 2 ประโยคนี้ แปลไม่เหมือนกัน
I'll raise hell with whoever is responsible for this mess. (โวยวาย, ต่อว่าด้วยความโกรธ)
The kids next door were raising hell last night. (ส่งเสียงหนวกหูรบกวนชาวบ้าน)
raise embargo ยกเลิกการห้าม (สินค้าเข้าออก)
กลุ่มคำ ที่ทำให้คำศัพท์มีความหมายเปลี่ยนไปเรื่อยๆ พวกนี้เราเรียกว่า collocation

คะแนน TOEIC ของผมแบบนี้ ควรจะทำอย่างไรถึงจะได้ตามคาดครับ

คะแนนที่ผมได้คือ 330 เมื่อประมาณเดือนมีนาคมปีที่แล้วครับ ซึ่งไปสอบแบบไม่ได้อ่านอะไรไปเลย    และผมก็อ่านหนังสือของ ผศ.นเรศ และหนังสืออีกเล่มหนื่งด้วยความที่ยอมรับว่า  ไม่กระตือรือร้นเท่าไหร่   แต่ก็อ่านเกือบทุกวัน เป็นเวลาหนึ่งเดือนจากนั้น  คะแนนครั้งที่ 2 ผมกลับตกลงมาเหลือ 310 คะแนน  แต่สาเหตุรอบ 2 นั้นผมเข้าใจตัวเองว่าผมไม่ค่อยมีสมาธิในการสอบเท่ากับครั้งแรก(เหตุเพราะเป็นการสอบรอบเย็นด้วยหรือเปล่า)ก็เลยทำคะแนนได้ไม่ดี  และต่ำกว่าครั้งแรก     ทั้ง ๆ ที่ครั้งแรกไม่ได้อ่านอะไรเลย  สอบสด ๆ เอาความรู้เท่าที่มี(ซึ่งผมเรียนสายช่างมา  ความรู้ด้านภาษาอังกฤษเรียกว่าอ่อนครับ)มาสอบเลยครับ

และการฟังของผมถ้าผมมีเวลาก็จะเปิดช่องการ์ตูนเคเบิ้ล(ที่พูดภาษาอังกฤษตลอดเวลา 24 ชม.)ฟังครับ
แต่การฟังของผม  ตอนนี้ผมคิดว่าผมพัฒนาการฟังไปได้มากกว่าตอนที่สอบครั้งนั้นนะครับ   คือการฟังเมื่อก่อนจะจับคำว่า(ในทีวี)เค้าพูดว่าอะไรแทบจะไม่ได้เลย    ส่วนตอนนี้พอจับได้บ้าง   ประโยคหนึ่งที่พูดจะจับต้นประโยค และคำสุดท้ายของประโยคได้มากที่สุด   ถ้าตีเฉลี่ยผมสามารถฟังออกว่าพูดว่าอะไรในแต่ละประโยคประมาณ 45% ครับ
ส่วนในทางไวยากรณ์นี่ผมคิดว่าผมมีความรู้มากกว่าที่สอบตอนนั้นมากขึ้น  เห็นประโยคทั่วไปตามหนังสือ หนังสือพิมพ์ หรือบทความทั่วไปก็พอคาดเดาความหมายของเรื่องนั้น ๆ ได้ประมาณหนึ่งครับ   แต่พอมาอ่านแนวข้อสอบในเล่มของ ผศ.นเรศ  ส่วนมากแล้วผมจะเรียกได้ว่างงนิด ๆ รวมถึงบางข้อนั้นก็ถือว่ายากเหมือนกัน   เช่น
The saleman was anxious to meet his ________ for the month.
 A) quota                                               B) sales
 C) number                                            D) consumer
ผมจะงงครับว่าควรจะเติมคำว่าอะไรดี     และอีกหลายข้อเกี่ยวกับการเติมคำนาม กริยา หรืออะไรดี  เช่น
She asked for his _________ about taking a part time job.
 A) advise                                              B) advice
 C) advisor                                             D) advisable
ข้อนี้ผมก็จะไม่สามารถแยกแยะได้ทันทีว่าผมควรจะตอบข้อไหน  ต้องพิจารณานาน  ซึ่งในห้องสอบจริงจะไม่สามารถใช้เวลาขนาดนั้นได้เลย
สรุปก็คือ..
หลังจากที่ผมสอบครั้งแรกด้วยคะแนน 330 (ไม่ได้เตรียมตัวเลย)ผมเริ่มซื้อหนังสือมาอ่านทุกวันเป็นเวลาประมาณ 1 เดือน
ผมไปสอบอีกครั้งได้คะแนน 310 คะแนน(ประมาณเดือนมีนาคม2553)
ณ ปัจจุบันนี้ผมมีความรู้ด้านการฟังจากในชีวิตประจำวันทั่วไป โดยในประโยคหนึ่งการฟังประโยคในการ์ตูนจะฟังออกประมาณ 45%  และความรู้ด้านภาคการอ่าน(reading)ดีกว่าก่อนขึ้นมาประมาณนึง  แต่ต้องใช้เวลาพิจาณานานซึ่งจะทำข้อสอบจริงไม่ทันครับ


เป้าหมายของผมคือ 550 คะแนน ขึ้นไป ซึ่งผมต้องการอีกประมาณ 250 คะแนน และในอีกประมาณ 2 เดือนกว่า ๆ นับจากนี้  
พี่ ๆ เพื่อน ๆ คิดว่าผมควรจะทำอย่างไรดีระหว่าง
-เรียนคอร์สติวโดยเฉพาะเลย(ซึ่งหาจากเว็บไซต์ ราคาประมาณ 6000 บาท)
-อ่าน&ฝึกฟังด้วยตนเอง เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายครับ
ผมเสียดายค่าสอบครับเนื่องจากมีราคาสูงในการสอบแต่ละครั้งและงบประมาณผมก็มีจำกัดต้องไปใช้ในชีวิตประจำวัน  ค่าสอบ 1,200 บาทในแต่ละครั้งจึงไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เลยสำหรับผม
หากผมควรจะเรียนขอรบกวนแนะนำที่เรียนด้วยครับ

เรียนภาษาอังกฤษกับมิสเตอร์ดันแคน

Learning English with Misterduncan
เรียนภาษาอังกฤษกับมิสเตอร์ดันแคน

Lesson Six
บทที่ 6

Hi everybody, this is Misterduncan in England.
สวัสดีครับทุกๆคน  นี่คือ มิสเตอร์ดันแคน ในอังกฤษ

How are you today? Are you OK? I hope so.
คุณเป็นอย่างไรบ้างครับวันนี้? คุณสบายดีไหมครับ? ผมก็หวังว่าอย่างนั้นนะครับ!

Are you happy? I hope so!
คุณมี   ...  ความสุข   ดีมั๊ย?  ผมก็หวังว่างั้นนะครับ

In this lesson, we'll take a look at the two sides or faces of how we can feel emotionally
ในบทนี้, เราจะดูเรื่อง 2 ด้าน หรือ(สอง)หน้า ของความรู้สึก อารมณ์

and the way these feelings affect both ourselves and the people around us.
และวิธีการที่ความรู้สึกเหล่านี้ส่งผลต่อทั้งตัวเองและคนที่อยู่รอบตัวเรา

In today's lesson we will look at... being happy and feeling sad.
ในบทเรียนของวันนี้ เราจะเรียนเรื่อง "มีความสุข" และ "รู้สึกเศร้า"

'Happy' 'Sad'

We all have feelings.
พวกเราทุกคน มีความรู้สึก

There are the individual parts of our character that show the way feel,
depending on the situations around us.
ลักษณะเฉพาะตัวของคาแรคเตอร์เราจะแสดงความรู้สึกออกมาขึ้นอยู่กับสถานการณ์รอบๆตัวเรา

When we say feelings, we are actually describing one feeling at a time.
เมื่อเราพูดแสดงความรู้สึก เราจะบรรยายความรู้สึกหนึ่งๆในแต่ละครั้ง

Although sometimes, for example, due to illness, a person may experience many feelings at once.
แม้ว่าบางครั้ง, ตัวอย่างนะ, ตอนที่ป่วย, คนคนนั้นอาจรับรู้ถึงความรู้สึกหลากหลายในช่วงเวลาเดียวกัน

The way you feel relates to your... 'Emotional State' 'Mood' 'Frame of Mind' 'Temper' 'Disposition' 'State of Mind' 'Spirit'
แนวทางที่คุณรู้สึกเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับ สภาวะจิตใจ อารมณ์ ความรู้สึก  สภาพจิตใจ จิตใจ

The prefix 'good' or 'bad' can be added to all of these words
คำ 'good' หรือ 'bad' ที่ใช้เติมข้างหน้าคำ สามารถเติมข้างหน้าคำเหล่านี้ได้

to show a positive mood...and a negative one.
เพื่อแสดงอารมณ์เป็นบวก ... และอารมณ์เป็นลบ

วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เรียนภาษาอังกฤษที่ทันสมัยและได้ผลดีที่สุดในราคาเพียงปีละ 12,500 บาทลดพิเศษเพียง 5,350 บาท

ผู้เรียนสามารถทำแบบทดสอบวัดระดับก่อนเรียน (Placement test) สามารถเลือกเรียนตามระดับที่ตนได้รับ หรือ เลือกตามวัตุถุประสงค์ในการเรียนที่ตนต้องการ ผู้เรียนสามารถทดสอบวัดความก้าวหน้า (Progress test) ของตน เองหลังจากที่เริ่มเรียนระยะหนึ่งไปแล้ว และทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ (Achievement test) ทั้งนี้ผลคะแนนสามารถ นำไปเปรียบเทียบกับคะแนนตามมาตรฐานภาษาสากล เช่น TOEFL, IELTS, TOEIC, Bright,Europe Council

ครบถ้วนด้วยเนื้อหาทุกระดับ กิจกรรมหลากหลายมากถึง 37 กิจกรรม มากกว่า 2,000 ชั่วโมง

ระบบสังเคราะห์เสียงอัจฉริยะ Speech Recognition System, S.E.T.S. ได้ผลเสมือนเรียนกับเจ้าของภาษาจริง

Interactive Dialogue บทสนทนาหลากหลายสถานการณ์ พร้อม ฝึกโต้ตอบเสมือนการสนทนาจริง

เรียนได้ง่ายด้วยตัวเอง เพียงมีอินเทอร์เน็ต สะดวก เรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา

มีแบบทดสอบออนไลน์พร้อมเพื่อวัดระดับ คะแนนที่ได้เทียบ เคียงกับ TOEIC TOEFL ได้ทันที

Interactive English Learning รูปแบบการเรียนภาษาต่างประเทศที่ทันสมัยและได้ผลดีที่สุด ณ ขณะนี้ด้วยคุณภาพ ระดับ World Class สะดวก ใช้งานง่าย เหมาะกับผู้เรียนทุกวัย แค่มี Internet คุณก็สามารถเรียนภาษาได้ทุกที่ ทุกเวลาด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ระบบ Speech Recognition, S.E.T.S. Technology ช่วยวิเคราะห์การ ออกเสียงของคุณเหมือนมีอาจารย์ชาวต่างชาติ เจ้าของภาษาอยู่กับคุณตลอดเวลา ด้วยรูปแบบการเรียน ของ กิจกรรมผสมผสานที่หลากหลาย มีให้เลือกเรียนในทุกระดับ แบบไม่จำกัดจำนวนชั่วโมง (Unlimited Learning) ทำให้คุณสามารถสนุกไปกับการเรียนภาษาอังกฤษโดยไม่ต้องกังวลเรื่องเนื้อหา และเวลาเรียน เชิญสัมผัสประสบการณ์ใหม่ในการเรียนภาษาอังกฤษได้แล้ววันนี้กับ Interactive English Learning

พร้อมระบบทดสอบออนไลน์เพื่อวัดระดับความสามารถ เพื่อเทียบเคียงกับระดับ TOEIC, TOEFL, Bright, Europe Council ได้

สอบถามเพิ่มเติมโทรสอบถามข้อมูลได้ที่ 02-942-0195 และ 02-942-0331 อีเมล์ protexts@hotmail.com

http://www.interactiveenglishlearning.com/