วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

อยากฟื้น Speaking Skill เรียนภาษาอังกฤษสำหรับธุรกิจที่ไหนดีคะ?

พอดีเราจบมหาวิทยาลัยอินเตอร์มา ตั้งแต่มาทำงานไม่ได้ Speaking เลยค่ะ ใช้แต่ Writing

ลิ้นแข็งไปหมดแล้วจนไม่กล้าพูด กลัวพูดผิด และคิดไม่ออกว่าจะพูดยังไง

ส่วน Writing, Reading, Listening เราไม่ค่อยมีปัญหานะคะ

ตอนนี้อยากจะขยับขยายไปทำงานบริษัทต่างชาติ เกรงว่าจะพูดไม่คล่อง

ได้เว็บหนึ่งมา http://www.justmyenglish.com กับ http://www.interactiveenglishlearning.com ครอสราคาไม่แพง 5 พันบาท ต่อปี เรียนกี่ครั้งก็ได้
สมัครแล้วดีมาก เลยอยากจะแนะนำเพื่อนๆ

ตัวอย่างข้อสอบ

ยกตัวอย่างเช่นข้อนี้

She asked for his _________ about taking a part time job.
A) advise                                              B) advice
C) advisor                                             D) advisable

รู้แต่ grammar ขั้นพื้นฐาน ทำได้สบายๆ

นั่นก็คือ หลัง his น่าจะตามด้วย noun ดังนั้น A) advise (verb) ผิด และ D) advisable  (adjective) ผิด
คราวนี้เหลือ

C) advisor  B) advice

แต่ C) advisor (noun) ผิด เพราะเข้าข่าย ask for somebody เท่ากับถามใครบางคน แต่ถ้า somebody กลายเป็น consumer แล้วพอต่อด้วย about มันอ่านแล้วไม่ค่อยจะได้ใจความที่เข้าท่านัก
เหลือ B) advice (noun) ถูก เพราะอันนี้เข้าข่าย ask for something คือถามหาอะไรบางอย่าง แล้ว something อันนั้นคือ advice about...(คำแนะนำเกี่ยวกับ) ซึ่งมันอ่านรู้เรื่องมากที่สุด ข้อนี้จึงถูก

ทีนี้มาดูข้อนี้ไม่หมูนะ
The salesman was anxious to meet his ________ for the month.
A) quota                                             B) sales
C) number                                            D) consumer

C) number ผิดเพราะอ่านไม่ได้ใจความ
D) consumer ถ้าเลือกข้อนี้กลายไป พบปะผู้บริโภคของเขาสำหรับเดือนนี้ มันแปลกๆ
B) sales ข้อนี้จะถูกได้ต้องเป็น
The salesman was anxious to meet his sales target for the month.
แต่ target มันหายไป ดังนั้น B) sales จึงผิด
คราวนี้มาเข้าประเด็นแล้วนะ ซึ่งสำคัญ
คุณต้องรู้ว่า meet ที่ "ไม่ได้แปลว่าพบ" น่ะมันมีกี่รูปแบบ...โดยเคร่าๆ
ลองดูกลุ่มคำพวกนี้ดูให้ดีๆ เช่น
meet the demand สนองความต้องการ หรือทำตามข้อเรียกร้อง
meet expectations (ทำได้) สมตามที่คาดหวัง
3 ชุดนี้ความหมายคล้ายๆกัน
meet targets บรรลุเป้าหมาย
meet goals บรรลุจุดมุ่งหมาย
meet objectives บรรลุวัตถุประสงค์
คราวนี้พอเจอ คำว่า quota  ถ้าใครรู้แค่ความหมายว่า "จำนวนจำกัดที่กำหนดไว้" เพราะจะไปคิดถึง
exceed quota เกินโควต้า ไปซะฉิบ
แต่ถ้ารู้ว่า quota แปลว่า target ก็ได้
ก็จะรู้ว่า
The salesman was anxious to meet his sales target for the month.
เขียนได้อีกอย่างหนึ่งเป็น
The salesman was anxious to meet his sales quota for the month.
พนักงานขายกระวนกระวายใจอยากจะขายทำเป้าให้ได้สำหรับเดือนนี้
มันก็เขียนได้เหมือนกัน เพราะมีการใช้คำเป็นชุดร่วมกันคือ
meet quota นั่นเอง
ดังนั้นคำตอบที่ถูกต้องก็คือ A) quota
.........................................................................
ลองมาดูคำศัพท์ที่แปลเป็นกลุ่มคำกัน อีก
raise your hand ยกมือขึ้น
raise ducks and pigs เลี้ยงเป็ดและหมู
raise crops ปลูกพืช
get a pay raise ได้เงินค่าจ้างเพิ่ม
raise an issue หยิบยกประเด็นขึ้นมา
raise the amount เพิ่มจำนวน
raise the standard ยกระดับมาตรฐาน
raise one's eyebrows "เลิกคิ้ว" หมายถึง "รู้สึกว่า (สิ่งที่เห็นนั้น) มันไม่เข้าท่า"
raise a smile ฝืนยิ้ม (เมื่อยามเศร้า)
raise money รวบรวมเงิน (เพื่อเอาไปใช้ประโยชน์อะไรบางอย่าง)
raise the roof ส่งเสียงดัง ตอนร้องเพลงหรือเฉลิมฉลอง
raise the spectre of something ทำให้หวาดหวั่นว่าอาจมีเหตุการณ์ที่น่ากลัวเกิดขึ้นในเร็วๆนี้
เช่น The violence has raised the spectre of civil war.
raise its (ugly) head (ปัญหา) โผล่มาให้เห็น (ซึ่งถึงคราวแล้วที่จะต้องแก้ไข)
เช่น Another problem then raised its ugly head.
I'll raise you 10,000 baht = เก 10,000 บาท (ใช้เวลาเล่นไพ่)
raise hell โวยวายด้วยความโกรธ หรือแค่ส่งเสียงหนวกหู
ให้ดูดีๆว่า 2 ประโยคนี้ แปลไม่เหมือนกัน
I'll raise hell with whoever is responsible for this mess. (โวยวาย, ต่อว่าด้วยความโกรธ)
The kids next door were raising hell last night. (ส่งเสียงหนวกหูรบกวนชาวบ้าน)
raise embargo ยกเลิกการห้าม (สินค้าเข้าออก)
กลุ่มคำ ที่ทำให้คำศัพท์มีความหมายเปลี่ยนไปเรื่อยๆ พวกนี้เราเรียกว่า collocation

คะแนน TOEIC ของผมแบบนี้ ควรจะทำอย่างไรถึงจะได้ตามคาดครับ

คะแนนที่ผมได้คือ 330 เมื่อประมาณเดือนมีนาคมปีที่แล้วครับ ซึ่งไปสอบแบบไม่ได้อ่านอะไรไปเลย    และผมก็อ่านหนังสือของ ผศ.นเรศ และหนังสืออีกเล่มหนื่งด้วยความที่ยอมรับว่า  ไม่กระตือรือร้นเท่าไหร่   แต่ก็อ่านเกือบทุกวัน เป็นเวลาหนึ่งเดือนจากนั้น  คะแนนครั้งที่ 2 ผมกลับตกลงมาเหลือ 310 คะแนน  แต่สาเหตุรอบ 2 นั้นผมเข้าใจตัวเองว่าผมไม่ค่อยมีสมาธิในการสอบเท่ากับครั้งแรก(เหตุเพราะเป็นการสอบรอบเย็นด้วยหรือเปล่า)ก็เลยทำคะแนนได้ไม่ดี  และต่ำกว่าครั้งแรก     ทั้ง ๆ ที่ครั้งแรกไม่ได้อ่านอะไรเลย  สอบสด ๆ เอาความรู้เท่าที่มี(ซึ่งผมเรียนสายช่างมา  ความรู้ด้านภาษาอังกฤษเรียกว่าอ่อนครับ)มาสอบเลยครับ

และการฟังของผมถ้าผมมีเวลาก็จะเปิดช่องการ์ตูนเคเบิ้ล(ที่พูดภาษาอังกฤษตลอดเวลา 24 ชม.)ฟังครับ
แต่การฟังของผม  ตอนนี้ผมคิดว่าผมพัฒนาการฟังไปได้มากกว่าตอนที่สอบครั้งนั้นนะครับ   คือการฟังเมื่อก่อนจะจับคำว่า(ในทีวี)เค้าพูดว่าอะไรแทบจะไม่ได้เลย    ส่วนตอนนี้พอจับได้บ้าง   ประโยคหนึ่งที่พูดจะจับต้นประโยค และคำสุดท้ายของประโยคได้มากที่สุด   ถ้าตีเฉลี่ยผมสามารถฟังออกว่าพูดว่าอะไรในแต่ละประโยคประมาณ 45% ครับ
ส่วนในทางไวยากรณ์นี่ผมคิดว่าผมมีความรู้มากกว่าที่สอบตอนนั้นมากขึ้น  เห็นประโยคทั่วไปตามหนังสือ หนังสือพิมพ์ หรือบทความทั่วไปก็พอคาดเดาความหมายของเรื่องนั้น ๆ ได้ประมาณหนึ่งครับ   แต่พอมาอ่านแนวข้อสอบในเล่มของ ผศ.นเรศ  ส่วนมากแล้วผมจะเรียกได้ว่างงนิด ๆ รวมถึงบางข้อนั้นก็ถือว่ายากเหมือนกัน   เช่น
The saleman was anxious to meet his ________ for the month.
 A) quota                                               B) sales
 C) number                                            D) consumer
ผมจะงงครับว่าควรจะเติมคำว่าอะไรดี     และอีกหลายข้อเกี่ยวกับการเติมคำนาม กริยา หรืออะไรดี  เช่น
She asked for his _________ about taking a part time job.
 A) advise                                              B) advice
 C) advisor                                             D) advisable
ข้อนี้ผมก็จะไม่สามารถแยกแยะได้ทันทีว่าผมควรจะตอบข้อไหน  ต้องพิจารณานาน  ซึ่งในห้องสอบจริงจะไม่สามารถใช้เวลาขนาดนั้นได้เลย
สรุปก็คือ..
หลังจากที่ผมสอบครั้งแรกด้วยคะแนน 330 (ไม่ได้เตรียมตัวเลย)ผมเริ่มซื้อหนังสือมาอ่านทุกวันเป็นเวลาประมาณ 1 เดือน
ผมไปสอบอีกครั้งได้คะแนน 310 คะแนน(ประมาณเดือนมีนาคม2553)
ณ ปัจจุบันนี้ผมมีความรู้ด้านการฟังจากในชีวิตประจำวันทั่วไป โดยในประโยคหนึ่งการฟังประโยคในการ์ตูนจะฟังออกประมาณ 45%  และความรู้ด้านภาคการอ่าน(reading)ดีกว่าก่อนขึ้นมาประมาณนึง  แต่ต้องใช้เวลาพิจาณานานซึ่งจะทำข้อสอบจริงไม่ทันครับ


เป้าหมายของผมคือ 550 คะแนน ขึ้นไป ซึ่งผมต้องการอีกประมาณ 250 คะแนน และในอีกประมาณ 2 เดือนกว่า ๆ นับจากนี้  
พี่ ๆ เพื่อน ๆ คิดว่าผมควรจะทำอย่างไรดีระหว่าง
-เรียนคอร์สติวโดยเฉพาะเลย(ซึ่งหาจากเว็บไซต์ ราคาประมาณ 6000 บาท)
-อ่าน&ฝึกฟังด้วยตนเอง เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายครับ
ผมเสียดายค่าสอบครับเนื่องจากมีราคาสูงในการสอบแต่ละครั้งและงบประมาณผมก็มีจำกัดต้องไปใช้ในชีวิตประจำวัน  ค่าสอบ 1,200 บาทในแต่ละครั้งจึงไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เลยสำหรับผม
หากผมควรจะเรียนขอรบกวนแนะนำที่เรียนด้วยครับ

เรียนภาษาอังกฤษกับมิสเตอร์ดันแคน

Learning English with Misterduncan
เรียนภาษาอังกฤษกับมิสเตอร์ดันแคน

Lesson Six
บทที่ 6

Hi everybody, this is Misterduncan in England.
สวัสดีครับทุกๆคน  นี่คือ มิสเตอร์ดันแคน ในอังกฤษ

How are you today? Are you OK? I hope so.
คุณเป็นอย่างไรบ้างครับวันนี้? คุณสบายดีไหมครับ? ผมก็หวังว่าอย่างนั้นนะครับ!

Are you happy? I hope so!
คุณมี   ...  ความสุข   ดีมั๊ย?  ผมก็หวังว่างั้นนะครับ

In this lesson, we'll take a look at the two sides or faces of how we can feel emotionally
ในบทนี้, เราจะดูเรื่อง 2 ด้าน หรือ(สอง)หน้า ของความรู้สึก อารมณ์

and the way these feelings affect both ourselves and the people around us.
และวิธีการที่ความรู้สึกเหล่านี้ส่งผลต่อทั้งตัวเองและคนที่อยู่รอบตัวเรา

In today's lesson we will look at... being happy and feeling sad.
ในบทเรียนของวันนี้ เราจะเรียนเรื่อง "มีความสุข" และ "รู้สึกเศร้า"

'Happy' 'Sad'

We all have feelings.
พวกเราทุกคน มีความรู้สึก

There are the individual parts of our character that show the way feel,
depending on the situations around us.
ลักษณะเฉพาะตัวของคาแรคเตอร์เราจะแสดงความรู้สึกออกมาขึ้นอยู่กับสถานการณ์รอบๆตัวเรา

When we say feelings, we are actually describing one feeling at a time.
เมื่อเราพูดแสดงความรู้สึก เราจะบรรยายความรู้สึกหนึ่งๆในแต่ละครั้ง

Although sometimes, for example, due to illness, a person may experience many feelings at once.
แม้ว่าบางครั้ง, ตัวอย่างนะ, ตอนที่ป่วย, คนคนนั้นอาจรับรู้ถึงความรู้สึกหลากหลายในช่วงเวลาเดียวกัน

The way you feel relates to your... 'Emotional State' 'Mood' 'Frame of Mind' 'Temper' 'Disposition' 'State of Mind' 'Spirit'
แนวทางที่คุณรู้สึกเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับ สภาวะจิตใจ อารมณ์ ความรู้สึก  สภาพจิตใจ จิตใจ

The prefix 'good' or 'bad' can be added to all of these words
คำ 'good' หรือ 'bad' ที่ใช้เติมข้างหน้าคำ สามารถเติมข้างหน้าคำเหล่านี้ได้

to show a positive mood...and a negative one.
เพื่อแสดงอารมณ์เป็นบวก ... และอารมณ์เป็นลบ