วันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

แชร์ประสบการณ์เตรียมตัวและการสอบ Toefl iBT สำหรับผู้ที่ต้องการจะอ่านเองค่ะ

คะแนนเพิ่งออกพอดี เลยอยากเขียนเล่าประสบการณ์การเตรียมตัวที่ผ่านมาค่ะ
อยากจะแชร์สำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาไปเรียนพิเศษ และสามารถฝึกหัดได้ด้วยตัวเองที่บ้าน และทำได้ในราคาที่ถูกค่ะ



เราอ่านไปสอบเองค่ะ โดยการ
1. ซื้อหนังสือของ Kaplan มาอ่าน เพื่อดูแนวข้อสอบ และ pattern คำถามคร่าวๆ

2. ดาวน์โหลดแบบฝึกหัด Reading comprehension บนเว็บมาฝึกทำข้อสอบ
-เราเลือกแบบฝึกหัดบางตัวมาทำ แบบไม่จับเวลา ทำความเข้าใจ เปิดดิกไปด้วย เพราะโจทย์จะยากกว่าของจริงมาก
อ่านไปเพื่อดูโครงสร้างการเขียนเรียงความแบบ academic ที่ไม่ค่อยจะเจอทั่วไป ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะมีแต่บทความด้านข่าวทั้งนั้น
โครงสร้างต่างกันค่ะ

เราใช้เว็บนี้ค่ะ มีเฉลยและคำอธิบายอย่างละเอียดด้วยค่ะ
http://www.englishforeveryone.org/Topics/Reading-Comprehension.htm

3. ดู TV series แบบไม่มีซับ
-เราเลือกดูเรื่อง Ugly Betty ที่มีมุขตลกที่ทันสมัย และการใช้คำประชดประชันอย่างเฉียบแหลม และสำเนียงที่ฟังง่ายของคนในนิวยอร์ค
และหาดูสารคดีสัตว์โลก เพื่อทำตัวให้คุ้นกับศัพท์วิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อมที่ไม่ถนัด แต่จะต้องได้เจอในข้อสอบแน่นอน

ระหว่างดูก็จดบันทึกใจความสำคัญ ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในแต่ละตอน ตัวละครพูดอะไรกับใคร ใครทำอะไร สุดท้ายใครไปไหน
และสรุปออกมาเป็นคำพูดบ้าง ไม่ก็เขียนออกมาบ้าง แล้วแต่ความพอใจค่ะ

4. งดการดูละครเกาหลีญี่ปุ่นที่ชื่นชอบ เพื่อป้องกันการสับสนในเรื่องภาษา

5. เขียนไดอารี่ หรือแสดงความเห็น รีวิวเป็นภาษาอังกฤษ ในเว็บที่มี user ที่เป็นชาวต่างชาติ
-เพื่อจะได้มีการโต้ตอบในสิ่งที่เราเขียนไป ในด้านที่เราสนใจ อย่างเราเป็นคนชอบดูละคร แล้วก็มาวิเคราะห์หลังดูจบกับแฟนๆ ละครด้วยกันค่ะหรืออ่านข่าวและบทสัมภาษณ์ของนักแสดง ที่เกี่ยวกับละครตอนนั้นๆ ที่เราเพิ่งดูจบไป

6. ทบทวน Grammar ไปบ้าง
-โดยเฉพาะ Tense ที่เป็นอดีต และหัวข้อพวก Reporting ทั้งหลาย เช่น He said that...She insisted that
เพราะจะได้ใช้บ่อยมากในการเล่าเรื่องสิ่งที่อีกคนพูดไปแล้วใน Speaking และ Writing

เราใช้หนังสือเล่มนี้ค่ะ




1 ชั่วโมงก่อนเข้าห้องสอบ
เราพกหนังสือภาษาอังกฤษไปด้วย 1 เล่ม ของ Dale Carnegie ชื่อ How to stop worrying and start living ซึ่งมีการเขียนในลักษณะเล่าเรื่อง ไม่เป็นทางการมากนัก แต่มีการยกตัวอย่างให้เห็นภาพ และการใช้สำนวนที่ลื่นไหล (เนื้อหาช่างเหมาะกับการรอหน้าห้องสอบเสียจริงๆ ฮ่าๆ)

ก็พยายามอ่านประโยคต่างๆ โดยการออกเสียงเบาๆ ในแต่ละบท อ่านไปจินตการตามที่ผู้เล่าเล่าไป ในระหว่างรอเจ้าหน้าที่เรียก
ซึ่งเราคิดว่าได้ผลดีทีเดียว อย่างน้อยก็ทำให้สมองเราจดจ่ออยู่กับภาษาอังกฤษ บริหารปาก และเรียนรู้ศัพท์ใหม่ๆ ที่อาจนำไปใช้ในห้องสอบได้

ที่เราไม่พกแบบฝึกหัดไปทำด้วยนั้น เพราะอีกเดี๋ยวจะต้องเจอเป็นอีกหลายร้อยข้อ ไม่อยากทำให้ตัวเองอ้วกเสียก่อนค่ะ

ระหว่างสอบ
Reading:
อ่านทำความเข้าใจหนึ่งรอบ เราตั้งใจจะใช้เวลาจนหมดค่ะ ค่อยๆ อ่าน จดบันทึกและจับใจความที่สำคัญ
คำศัพท์ในข้อสอบไม่ได้ยากมาก แต่มักจะมีตัวหลอก เค้าต้องการจะทดสอบว่าเราเข้าใจสิ่งที่ผู้เขียนจะสื่อหรือไม่เท่านั้นเองค่ะ

Listening:
คล้ายๆ กับการดูละครค่ะ ถ้าดูละครพอจะเข้าใจภาพรวม ก็สามารถทำข้อสอบได้ไม่ยากค่ะ เพราะในข้อสอบมักจะให้เราฟังบทสนทนาระหว่างนักเรียนด้วยกัน หรือ นักเรียนกับครู ซึ่งมันก็คล้ายๆ กับที่ฟังตัวละครสื่อสารและปฏิสัมพันธ์กันค่ะ

Speaking:
วัดสติกันล้วนๆ ค่ะ มันมีความตื่นเต้น และไหวพริบเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
เราพูดด้วยความเร็วกลางๆ และออกเสียงแต่ละคำชัดๆ ค่ะ มีระยะห่างระหว่างแต่ละคำ
ถึงดูเหมือนเวลาจะน้อย แต่จริงๆ มันทำให้เราพูดได้เยอะค่ะ บางทีเราพูดเสร็จก่อนจะหมดเวลาอีก
ดังนั้นพูดให้ชัดเจน ให้คนตรวจข้อสอบได้เข้าใจเราดีกว่าค่ะ

วิธีของเราคือ ด้วยเวลาที่จำกัด ก็เขียนคำศัพท์ที่ได้ยิน/อ่าน และใช้สัญลักษณ์แทนการจดบันทึกเพื่อลดการเสียเวลาค่ะ

Writing:
เราได้คะแนน Integrated Writing น้อยมากค่ะ ถึงขั้น limted เลยทีเดียว เนื่องจากอ่านโจทย์ผิด เขียนพร่ำเพ้อในสิ่งที่โจทย์ไม่ได้ถาม (แง)
เลยอยากให้ดูเราเป็นบทเรียนที่ไม่ดีค่ะ ประมาทไป นึกว่าจะเขียนตามใจชอบเหมือนใน Independent ได้

โจทย์ให้เราสรุปหัวข้อหลักๆ ที่ได้ยินจาก lecture และเขียนให้เชื่อมโยงกับสิ่งที่กล่าวในบทความที่ได้อ่าน
ซึ่งปกติแล้วโจทย์จะให้คนใน lecture พูดขัดแย้งกับเหตุผลในบทความ

อยากแนะนำให้อ่าน pattern การเขียนแบบนี้ไปเยอะๆ ค่ะ จะได้ไม่พลาดแบบเรา

ส่วน part ที่สองนั้น ให้เลือกไปเลยว่าจะสนับสนุนกับข้อความไหน อย่าลังเลค่ะ
เขียนเชียร์เลยว่าทำไมสิ่งที่เราเลือกจึงดีกว่า ดียังไง ทำแล้วจะก่อให้เกิดอะไร ให้เหตุผล ยกตัวอย่างไปเลย
เป็นส่วนที่ทำคะแนนได้ไม่ยากค่ะ

เก่งมากครับ ยินดีด้วยครับ
IBT = 96 ก็เทียบเท่าประมาณ PBT = 590 / IELTS = 7.0 เลยนะครับ
ไม่ทราบว่า จขกท. มีแผนจะไปเรียนต่อที่ไหนครับ ได้คะแนนระดับนี้น่าจะมีตัวเลือกเยอะพอสมควรเลย

วันอังคารที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

การเตรียมเอกสารการสมัครเรียนต่อต่างประเทศ


การไปเรียนต่อปริญญาโท เกรดและสาขาที่เราจบมานั้นสำคัญมาก เพราะแต่ละมหาวิทยาลัยมีระดับมาตรฐาน และเงื่อนไขการรับผู้เข้าศึกษาต่อต่างกัน บางแห่งมีคอร์สอนุปริญญาโทไว้ปรับพื้นสำหรับผู้ที่คะแนนไม่ถึง หรือจบไม่ตรงสายก่อนที่จะเริ่มเรียนจริง แต่นั่นหมายความว่าเราต้องเสียเวลา และมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดไว้ ฉะนั้นต้องดูเกรด และสาขาที่เราจบมาเป็นหลักว่าจะเลือกเรียนที่ใดได้บ้างค่ะ

การเตรียมเอกสารการสมัครเรียน

มาถึงขั้นตอนการรวบรวมเอกสารกรอกใบสมัครให้ครบเพื่อยืนยันคุณสมบัติตาม ที่เค้ากำหนด โดยทั่วไปเอกสารหลัก ๆ ใช้ในการสมัครเข้าเรียนระดับปริญญาโทของมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ มีดังนี้
ตอนนี้ใครที่สนใจไปศึกษาต่อเมืองนอกคงเห็นภาพแล้ว ว่าการไปเรียนต่อทั้งทีนั้นไม่ได้หมูเลยจริง ๆ เราควรมีข้อมูลมากพอ เพื่อตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง ซึ่งทางที่สะดวกและดีที่สุด คือการขอคำแนะนำจากสถาบันแนะแนวการเรียนต่อที่ได้มาตรฐาน และเป็นที่ยอมรับของสถาบันต่างชาติ ซึ่งเปิดให้บริการอยู่ทั่วประเทศ เราสามารถขอคำปรึกษาเกี่ยวการเลือกเมือง หรือสถาบันและสาขาที่จะไปศึกษา แต่ถ้าตัดสินใจได้แล้ว ก็สามารถให้ช่วยดำเนินการเรื่องเอกสารที่ค่อนข้างยุ่งยากได้ นอกจากนี้บางสถาบันจะเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับการทำวีซ่า การหาที่พัก และคอร์สปรับพื้นฐานทางภาษา ไว้ให้พร้อมในแพคเก็จเดียวทำให้สะดวกสบายไปหลายเปลาะเลยค่ะ หวังว่าข้อมูลข้างต้นจะเป็นประโยชน์แก่การเตรียมตัวไปเรียนต่อเมืองนอกไม่มากก็น้อยนะคะ

อยากไปจริงใช่ไหม

หากคิดจะไปเรียนต่อเมืองนอก มีแค่ความ “อยาก” คงจะไม่พอ แต่ต้องมี “ความตั้งใจจริง” ด้วย เพราะการไปที่นู่นชีวิตในช่วงแรกต้องมีตะกุกตะกักกันบ้าง ต้องทำใจไว้เลยค่ะ ว่าเราต้องเจอกับสิ่งใหม่ ๆ และเรียนรู้ เพื่อปรับตัวกันไป บางเรื่องที่คิดว่าง่ายในเมืองไทย ก็กลายเป็นเรื่องยุ่งยากในเมืองนอกได้ หากยังลังเลสองจิตสองใจตั้งแต่ก่อนไป เชื่อว่าจะหมดความอดทนได้ง่าย ๆ แนะนำว่าให้ศึกษาข้อมูลประเทศที่เราอยากไปเรียนให้มากที่สุดก่อน ลองชั่งใจว่าหากเราไปอยู่ที่นั่นจริงจะไหวไหม ทางที่ดีที่สุดควรปรึกษาสถาบันแนะแนวด้านการเรียนต่อโดยเฉพาะค่ะ เพราะบางมีเราอาจจะไม่มีเวลาหาข้อมูล หรือได้ข้อมูลที่ไม่จริงก็เป็นได้ค่ะ
เงิน

น้อง ๆ ที่เพิ่งจบมาคงกลุ้มกับการมองหางานพอสมควร เพราะทุกวันนี้มีการแข่งขันกันสูงมาก จนปริญญาตรีกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปซะแล้ว หันไปทางไหนใคร ๆ ก็จบปริญญาโทกัน  แล้วคราวนี้จะเอาอะไรไปแข่งกับคนอื่นดี…คิดไปคิดมา มีแต่การไปเรียนต่อเมืองนอกนี่แหละ ที่ดูมีภาษีดีกว่าเพื่อนเพราะทั้งความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับในต่างแดนจะทำให้เรามีบุคลิค ทัศนคติ และมุมมองที่ต่างไป ที่สำคัญจะทำให้เราได้เปรียบเรื่องภาษา ซึ่งส่งเสริมให้เราได้งานที่ดีต่อไปได้
แม้ว่าการไปเรียนต่อเมืองนอกจะฟังดูเก๋มาก แต่การใช้ชีวิตที่นั่นในระยะยาว จริง ๆ แล้วโหดเอาการอยู่ เพราะมีหลายปัจจัยที่อาจทำให้คุณกลับมามือเปล่าได้ จึงควรพิจารณาสิ่งต่อไปนี้ประกอบการตัดสินใจก่อนไปนะคะ
ความพร้อมด้านการศึกษาของเรา

เตรียมงบประมาณ

เตรียมงบในกระเป๋าสตางค์ให้พร้อมใน 2 เรื่องหลัก คือ ค่าเล่าเรียน และค่าครองชีพ แน่นอนว่าถ้าเลือกเรียนต่อในมหาวิทยาเอกชน ย่อมมีค่าใช้จ่ายแพงกว่ามหาวิทยาลัยของรัฐ แต่มหาวิทยาลัยรัฐส่วนใหญ่จะสมัครเข้าเรียนได้ยากกว่า และค่าครองชีพของแต่ละเมืองก็มีค่าใช้จ่ายไม่เท่ากัน ทั้งค่าเดินทาง ค่าที่พัก จึงต้องหาข้อมูลให้ดีเพื่อเปรียบเทียบงบค่าใช้จ่าย แต่สถาบันแนะแนวบางแห่งจะเตรียมข้อมูลเรื่องที่พักนักศึกษาทำให้เราได้ที่พักราคาที่เหมาะสม ซึ่งสะดวกและประหยัดด้วยค่ะ
ภาษา

เมื่อเลือกประเทศและมหาวิทยาลัยที่สนใจได้แล้ว ควรไปสอบวัดระดับควมรู้ทางภาษาเก็บไว้ และดูว่าเราผ่านเกณฑ์ที่มหาวิทยาลัยกำหนดไว้สำหรับเรียนต่อปริญญาโทหรือไม่ เช่น ประเทศอเมริกาจะใช้คะแนน TOFEL อย่างต่ำ 550 คะแนน ถ้าเป็นประเทศนิวซีแลนด์จะใช้ IELT ที่ 650 คะแนน และหากเป็นประเทศจีนจะใช้คะแนนการวัดความรู้ภาษาจีน HSK ในระดับสูงเป็นต้น หากเรายังไม่ผ่านเกณฑ์ภาษาที่กำหนด ก็ต้องดูตามงบประมาณที่มีอยู่ว่าควรจะเรียนภาษาเพิ่มในเมืองไทยหรือที่มหาวิทยาลัยที่เราจะไปเรียนต่อ เพราะส่วนใหญ่มีคอร์สรองรับ แต่จริง ๆ แล้วในประเทศไทยก็มีสถาบันที่เปิดสอน TOFEL IELT และ HSK หลายแห่งที่ต่างชาติให้การยอมรับค่ะ



สนใจเรียนภาษาอังกฤษติดต่อ www.dekenglish.com

วันพุธที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556

WoW,Wow มาแล้วๆ Clip Furby by คลับของคนรักภาษาอังกฤษ

ให้เสียงโดย นุช พิมพ์ ตัดต่อโดย กิ่ง ^^ครับ ตั๊บรายงาน Website:www.TellmeMoreClub.com เฟสบุ๊ค กดLike: www.facebook.com/TellMeMoreClub ภายในจะมีข้อมูลการเรียนภาษาอังกฤษ และที่ Menu Service จะมีคู่มือและวิดีโอสอนการใช้งานโปรแกรมอย่างละเอียด - ผู้ดูแลระบบ Email: tmm24club@gmail.com - ในเวลาทำการ 9:00 – 18:00 น. จันทร์ – ศุกร์ เบอร์ 02-5751791-3 - นอกเวลาทำการที่เบอร์ 088-5788400 ขอให้สนุกกับการเรียนภาษาอังกฤษ ด้วยโปรแกรม TELL ME MORE® Online TELL ME MORE® online Team ยกระดับคนไทยก้าวไกลในอาเซียน Danex Intercorporation Co.,Ltd. Tel: 0-2575-1791-2 Fax: 0-2575-1793 กด 16 HotLine: 088-5788400

วันศุกร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2556

อยากเรียนต่อเมืองนอกเตรียมตัวอย่างไร

ได้ทดลองเรียนภาษาอังกฤษหลายที่ ทำยังไงก็ไม่ได้ซักที จนเพื่อนบอกว่า เว็บ เด็กองลิช มีครอสเรียนออนไลน์ ราคา ปีละ 1000 เดียวเอง โอ้โห ถูกเหลือเชื่อ เอาไงต้องลองสิ เดี๋ยวมารีวิวให้ฟัง