วันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

แชร์ประสบการณ์เตรียมตัวและการสอบ Toefl iBT สำหรับผู้ที่ต้องการจะอ่านเองค่ะ

คะแนนเพิ่งออกพอดี เลยอยากเขียนเล่าประสบการณ์การเตรียมตัวที่ผ่านมาค่ะ
อยากจะแชร์สำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาไปเรียนพิเศษ และสามารถฝึกหัดได้ด้วยตัวเองที่บ้าน และทำได้ในราคาที่ถูกค่ะ



เราอ่านไปสอบเองค่ะ โดยการ
1. ซื้อหนังสือของ Kaplan มาอ่าน เพื่อดูแนวข้อสอบ และ pattern คำถามคร่าวๆ

2. ดาวน์โหลดแบบฝึกหัด Reading comprehension บนเว็บมาฝึกทำข้อสอบ
-เราเลือกแบบฝึกหัดบางตัวมาทำ แบบไม่จับเวลา ทำความเข้าใจ เปิดดิกไปด้วย เพราะโจทย์จะยากกว่าของจริงมาก
อ่านไปเพื่อดูโครงสร้างการเขียนเรียงความแบบ academic ที่ไม่ค่อยจะเจอทั่วไป ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะมีแต่บทความด้านข่าวทั้งนั้น
โครงสร้างต่างกันค่ะ

เราใช้เว็บนี้ค่ะ มีเฉลยและคำอธิบายอย่างละเอียดด้วยค่ะ
http://www.englishforeveryone.org/Topics/Reading-Comprehension.htm

3. ดู TV series แบบไม่มีซับ
-เราเลือกดูเรื่อง Ugly Betty ที่มีมุขตลกที่ทันสมัย และการใช้คำประชดประชันอย่างเฉียบแหลม และสำเนียงที่ฟังง่ายของคนในนิวยอร์ค
และหาดูสารคดีสัตว์โลก เพื่อทำตัวให้คุ้นกับศัพท์วิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อมที่ไม่ถนัด แต่จะต้องได้เจอในข้อสอบแน่นอน

ระหว่างดูก็จดบันทึกใจความสำคัญ ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในแต่ละตอน ตัวละครพูดอะไรกับใคร ใครทำอะไร สุดท้ายใครไปไหน
และสรุปออกมาเป็นคำพูดบ้าง ไม่ก็เขียนออกมาบ้าง แล้วแต่ความพอใจค่ะ

4. งดการดูละครเกาหลีญี่ปุ่นที่ชื่นชอบ เพื่อป้องกันการสับสนในเรื่องภาษา

5. เขียนไดอารี่ หรือแสดงความเห็น รีวิวเป็นภาษาอังกฤษ ในเว็บที่มี user ที่เป็นชาวต่างชาติ
-เพื่อจะได้มีการโต้ตอบในสิ่งที่เราเขียนไป ในด้านที่เราสนใจ อย่างเราเป็นคนชอบดูละคร แล้วก็มาวิเคราะห์หลังดูจบกับแฟนๆ ละครด้วยกันค่ะหรืออ่านข่าวและบทสัมภาษณ์ของนักแสดง ที่เกี่ยวกับละครตอนนั้นๆ ที่เราเพิ่งดูจบไป

6. ทบทวน Grammar ไปบ้าง
-โดยเฉพาะ Tense ที่เป็นอดีต และหัวข้อพวก Reporting ทั้งหลาย เช่น He said that...She insisted that
เพราะจะได้ใช้บ่อยมากในการเล่าเรื่องสิ่งที่อีกคนพูดไปแล้วใน Speaking และ Writing

เราใช้หนังสือเล่มนี้ค่ะ




1 ชั่วโมงก่อนเข้าห้องสอบ
เราพกหนังสือภาษาอังกฤษไปด้วย 1 เล่ม ของ Dale Carnegie ชื่อ How to stop worrying and start living ซึ่งมีการเขียนในลักษณะเล่าเรื่อง ไม่เป็นทางการมากนัก แต่มีการยกตัวอย่างให้เห็นภาพ และการใช้สำนวนที่ลื่นไหล (เนื้อหาช่างเหมาะกับการรอหน้าห้องสอบเสียจริงๆ ฮ่าๆ)

ก็พยายามอ่านประโยคต่างๆ โดยการออกเสียงเบาๆ ในแต่ละบท อ่านไปจินตการตามที่ผู้เล่าเล่าไป ในระหว่างรอเจ้าหน้าที่เรียก
ซึ่งเราคิดว่าได้ผลดีทีเดียว อย่างน้อยก็ทำให้สมองเราจดจ่ออยู่กับภาษาอังกฤษ บริหารปาก และเรียนรู้ศัพท์ใหม่ๆ ที่อาจนำไปใช้ในห้องสอบได้

ที่เราไม่พกแบบฝึกหัดไปทำด้วยนั้น เพราะอีกเดี๋ยวจะต้องเจอเป็นอีกหลายร้อยข้อ ไม่อยากทำให้ตัวเองอ้วกเสียก่อนค่ะ

ระหว่างสอบ
Reading:
อ่านทำความเข้าใจหนึ่งรอบ เราตั้งใจจะใช้เวลาจนหมดค่ะ ค่อยๆ อ่าน จดบันทึกและจับใจความที่สำคัญ
คำศัพท์ในข้อสอบไม่ได้ยากมาก แต่มักจะมีตัวหลอก เค้าต้องการจะทดสอบว่าเราเข้าใจสิ่งที่ผู้เขียนจะสื่อหรือไม่เท่านั้นเองค่ะ

Listening:
คล้ายๆ กับการดูละครค่ะ ถ้าดูละครพอจะเข้าใจภาพรวม ก็สามารถทำข้อสอบได้ไม่ยากค่ะ เพราะในข้อสอบมักจะให้เราฟังบทสนทนาระหว่างนักเรียนด้วยกัน หรือ นักเรียนกับครู ซึ่งมันก็คล้ายๆ กับที่ฟังตัวละครสื่อสารและปฏิสัมพันธ์กันค่ะ

Speaking:
วัดสติกันล้วนๆ ค่ะ มันมีความตื่นเต้น และไหวพริบเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
เราพูดด้วยความเร็วกลางๆ และออกเสียงแต่ละคำชัดๆ ค่ะ มีระยะห่างระหว่างแต่ละคำ
ถึงดูเหมือนเวลาจะน้อย แต่จริงๆ มันทำให้เราพูดได้เยอะค่ะ บางทีเราพูดเสร็จก่อนจะหมดเวลาอีก
ดังนั้นพูดให้ชัดเจน ให้คนตรวจข้อสอบได้เข้าใจเราดีกว่าค่ะ

วิธีของเราคือ ด้วยเวลาที่จำกัด ก็เขียนคำศัพท์ที่ได้ยิน/อ่าน และใช้สัญลักษณ์แทนการจดบันทึกเพื่อลดการเสียเวลาค่ะ

Writing:
เราได้คะแนน Integrated Writing น้อยมากค่ะ ถึงขั้น limted เลยทีเดียว เนื่องจากอ่านโจทย์ผิด เขียนพร่ำเพ้อในสิ่งที่โจทย์ไม่ได้ถาม (แง)
เลยอยากให้ดูเราเป็นบทเรียนที่ไม่ดีค่ะ ประมาทไป นึกว่าจะเขียนตามใจชอบเหมือนใน Independent ได้

โจทย์ให้เราสรุปหัวข้อหลักๆ ที่ได้ยินจาก lecture และเขียนให้เชื่อมโยงกับสิ่งที่กล่าวในบทความที่ได้อ่าน
ซึ่งปกติแล้วโจทย์จะให้คนใน lecture พูดขัดแย้งกับเหตุผลในบทความ

อยากแนะนำให้อ่าน pattern การเขียนแบบนี้ไปเยอะๆ ค่ะ จะได้ไม่พลาดแบบเรา

ส่วน part ที่สองนั้น ให้เลือกไปเลยว่าจะสนับสนุนกับข้อความไหน อย่าลังเลค่ะ
เขียนเชียร์เลยว่าทำไมสิ่งที่เราเลือกจึงดีกว่า ดียังไง ทำแล้วจะก่อให้เกิดอะไร ให้เหตุผล ยกตัวอย่างไปเลย
เป็นส่วนที่ทำคะแนนได้ไม่ยากค่ะ

เก่งมากครับ ยินดีด้วยครับ
IBT = 96 ก็เทียบเท่าประมาณ PBT = 590 / IELTS = 7.0 เลยนะครับ
ไม่ทราบว่า จขกท. มีแผนจะไปเรียนต่อที่ไหนครับ ได้คะแนนระดับนี้น่าจะมีตัวเลือกเยอะพอสมควรเลย

วันอังคารที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

การเตรียมเอกสารการสมัครเรียนต่อต่างประเทศ


การไปเรียนต่อปริญญาโท เกรดและสาขาที่เราจบมานั้นสำคัญมาก เพราะแต่ละมหาวิทยาลัยมีระดับมาตรฐาน และเงื่อนไขการรับผู้เข้าศึกษาต่อต่างกัน บางแห่งมีคอร์สอนุปริญญาโทไว้ปรับพื้นสำหรับผู้ที่คะแนนไม่ถึง หรือจบไม่ตรงสายก่อนที่จะเริ่มเรียนจริง แต่นั่นหมายความว่าเราต้องเสียเวลา และมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดไว้ ฉะนั้นต้องดูเกรด และสาขาที่เราจบมาเป็นหลักว่าจะเลือกเรียนที่ใดได้บ้างค่ะ

การเตรียมเอกสารการสมัครเรียน

มาถึงขั้นตอนการรวบรวมเอกสารกรอกใบสมัครให้ครบเพื่อยืนยันคุณสมบัติตาม ที่เค้ากำหนด โดยทั่วไปเอกสารหลัก ๆ ใช้ในการสมัครเข้าเรียนระดับปริญญาโทของมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ มีดังนี้
ตอนนี้ใครที่สนใจไปศึกษาต่อเมืองนอกคงเห็นภาพแล้ว ว่าการไปเรียนต่อทั้งทีนั้นไม่ได้หมูเลยจริง ๆ เราควรมีข้อมูลมากพอ เพื่อตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง ซึ่งทางที่สะดวกและดีที่สุด คือการขอคำแนะนำจากสถาบันแนะแนวการเรียนต่อที่ได้มาตรฐาน และเป็นที่ยอมรับของสถาบันต่างชาติ ซึ่งเปิดให้บริการอยู่ทั่วประเทศ เราสามารถขอคำปรึกษาเกี่ยวการเลือกเมือง หรือสถาบันและสาขาที่จะไปศึกษา แต่ถ้าตัดสินใจได้แล้ว ก็สามารถให้ช่วยดำเนินการเรื่องเอกสารที่ค่อนข้างยุ่งยากได้ นอกจากนี้บางสถาบันจะเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับการทำวีซ่า การหาที่พัก และคอร์สปรับพื้นฐานทางภาษา ไว้ให้พร้อมในแพคเก็จเดียวทำให้สะดวกสบายไปหลายเปลาะเลยค่ะ หวังว่าข้อมูลข้างต้นจะเป็นประโยชน์แก่การเตรียมตัวไปเรียนต่อเมืองนอกไม่มากก็น้อยนะคะ

อยากไปจริงใช่ไหม

หากคิดจะไปเรียนต่อเมืองนอก มีแค่ความ “อยาก” คงจะไม่พอ แต่ต้องมี “ความตั้งใจจริง” ด้วย เพราะการไปที่นู่นชีวิตในช่วงแรกต้องมีตะกุกตะกักกันบ้าง ต้องทำใจไว้เลยค่ะ ว่าเราต้องเจอกับสิ่งใหม่ ๆ และเรียนรู้ เพื่อปรับตัวกันไป บางเรื่องที่คิดว่าง่ายในเมืองไทย ก็กลายเป็นเรื่องยุ่งยากในเมืองนอกได้ หากยังลังเลสองจิตสองใจตั้งแต่ก่อนไป เชื่อว่าจะหมดความอดทนได้ง่าย ๆ แนะนำว่าให้ศึกษาข้อมูลประเทศที่เราอยากไปเรียนให้มากที่สุดก่อน ลองชั่งใจว่าหากเราไปอยู่ที่นั่นจริงจะไหวไหม ทางที่ดีที่สุดควรปรึกษาสถาบันแนะแนวด้านการเรียนต่อโดยเฉพาะค่ะ เพราะบางมีเราอาจจะไม่มีเวลาหาข้อมูล หรือได้ข้อมูลที่ไม่จริงก็เป็นได้ค่ะ
เงิน

น้อง ๆ ที่เพิ่งจบมาคงกลุ้มกับการมองหางานพอสมควร เพราะทุกวันนี้มีการแข่งขันกันสูงมาก จนปริญญาตรีกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปซะแล้ว หันไปทางไหนใคร ๆ ก็จบปริญญาโทกัน  แล้วคราวนี้จะเอาอะไรไปแข่งกับคนอื่นดี…คิดไปคิดมา มีแต่การไปเรียนต่อเมืองนอกนี่แหละ ที่ดูมีภาษีดีกว่าเพื่อนเพราะทั้งความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับในต่างแดนจะทำให้เรามีบุคลิค ทัศนคติ และมุมมองที่ต่างไป ที่สำคัญจะทำให้เราได้เปรียบเรื่องภาษา ซึ่งส่งเสริมให้เราได้งานที่ดีต่อไปได้
แม้ว่าการไปเรียนต่อเมืองนอกจะฟังดูเก๋มาก แต่การใช้ชีวิตที่นั่นในระยะยาว จริง ๆ แล้วโหดเอาการอยู่ เพราะมีหลายปัจจัยที่อาจทำให้คุณกลับมามือเปล่าได้ จึงควรพิจารณาสิ่งต่อไปนี้ประกอบการตัดสินใจก่อนไปนะคะ
ความพร้อมด้านการศึกษาของเรา

เตรียมงบประมาณ

เตรียมงบในกระเป๋าสตางค์ให้พร้อมใน 2 เรื่องหลัก คือ ค่าเล่าเรียน และค่าครองชีพ แน่นอนว่าถ้าเลือกเรียนต่อในมหาวิทยาเอกชน ย่อมมีค่าใช้จ่ายแพงกว่ามหาวิทยาลัยของรัฐ แต่มหาวิทยาลัยรัฐส่วนใหญ่จะสมัครเข้าเรียนได้ยากกว่า และค่าครองชีพของแต่ละเมืองก็มีค่าใช้จ่ายไม่เท่ากัน ทั้งค่าเดินทาง ค่าที่พัก จึงต้องหาข้อมูลให้ดีเพื่อเปรียบเทียบงบค่าใช้จ่าย แต่สถาบันแนะแนวบางแห่งจะเตรียมข้อมูลเรื่องที่พักนักศึกษาทำให้เราได้ที่พักราคาที่เหมาะสม ซึ่งสะดวกและประหยัดด้วยค่ะ
ภาษา

เมื่อเลือกประเทศและมหาวิทยาลัยที่สนใจได้แล้ว ควรไปสอบวัดระดับควมรู้ทางภาษาเก็บไว้ และดูว่าเราผ่านเกณฑ์ที่มหาวิทยาลัยกำหนดไว้สำหรับเรียนต่อปริญญาโทหรือไม่ เช่น ประเทศอเมริกาจะใช้คะแนน TOFEL อย่างต่ำ 550 คะแนน ถ้าเป็นประเทศนิวซีแลนด์จะใช้ IELT ที่ 650 คะแนน และหากเป็นประเทศจีนจะใช้คะแนนการวัดความรู้ภาษาจีน HSK ในระดับสูงเป็นต้น หากเรายังไม่ผ่านเกณฑ์ภาษาที่กำหนด ก็ต้องดูตามงบประมาณที่มีอยู่ว่าควรจะเรียนภาษาเพิ่มในเมืองไทยหรือที่มหาวิทยาลัยที่เราจะไปเรียนต่อ เพราะส่วนใหญ่มีคอร์สรองรับ แต่จริง ๆ แล้วในประเทศไทยก็มีสถาบันที่เปิดสอน TOFEL IELT และ HSK หลายแห่งที่ต่างชาติให้การยอมรับค่ะ



สนใจเรียนภาษาอังกฤษติดต่อ www.dekenglish.com

วันพุธที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556

WoW,Wow มาแล้วๆ Clip Furby by คลับของคนรักภาษาอังกฤษ

ให้เสียงโดย นุช พิมพ์ ตัดต่อโดย กิ่ง ^^ครับ ตั๊บรายงาน Website:www.TellmeMoreClub.com เฟสบุ๊ค กดLike: www.facebook.com/TellMeMoreClub ภายในจะมีข้อมูลการเรียนภาษาอังกฤษ และที่ Menu Service จะมีคู่มือและวิดีโอสอนการใช้งานโปรแกรมอย่างละเอียด - ผู้ดูแลระบบ Email: tmm24club@gmail.com - ในเวลาทำการ 9:00 – 18:00 น. จันทร์ – ศุกร์ เบอร์ 02-5751791-3 - นอกเวลาทำการที่เบอร์ 088-5788400 ขอให้สนุกกับการเรียนภาษาอังกฤษ ด้วยโปรแกรม TELL ME MORE® Online TELL ME MORE® online Team ยกระดับคนไทยก้าวไกลในอาเซียน Danex Intercorporation Co.,Ltd. Tel: 0-2575-1791-2 Fax: 0-2575-1793 กด 16 HotLine: 088-5788400

วันศุกร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2556

อยากเรียนต่อเมืองนอกเตรียมตัวอย่างไร

ได้ทดลองเรียนภาษาอังกฤษหลายที่ ทำยังไงก็ไม่ได้ซักที จนเพื่อนบอกว่า เว็บ เด็กองลิช มีครอสเรียนออนไลน์ ราคา ปีละ 1000 เดียวเอง โอ้โห ถูกเหลือเชื่อ เอาไงต้องลองสิ เดี๋ยวมารีวิวให้ฟัง

วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เรียนภาษาอังกฤษที่ไหนดี

ก่อนอื่น ต้องขอแนะนำตัวเองก่อน นะครับ ว่า ผู้เขียนเป็นใคร มาจากไหน เพราะ บทความนี้เป็นบทแรก ของ blog นี้ (www.dekenglish.com) หลังจากที่ผู้เขียนมีประสบการณ์ในการใช้ และสื่อสารภาษาอังกฤษ ที่ได้จากศึกษา และจากประสบการณ์การทำงานโรงแรม มากว่า 6 ปี และมองเห็นปัณหาในการใช้ภาษาอังกฤษของคนไทยด้วยกันเป็นอย่างดี ก็เลยรู้สึกคันไม้คันมือ อยากระบายให้ใครสักคน หรือหลายคนได้รับรู้บ้าง ซึ่งหลายๆคำถามที่มักจะได้รับจาากคนรอบข้าง สรุปแล้ว มักจะลงเอยด้วยคำว่าจะ เรียนภาษาอังกฤษที่ไหนดี ถึงได้ผลเร็ว ถ้ามองอีกมุมของเจ้าของภาษา เขาคงจะงง ว่า คนไทย เรียนภาษาอังกฤษกันยังไง เรียนมาเกือบ 10 ยังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ไม่กระดิกเลย ทั้งๆที่ ภาษาอังกฤษเรียนง่ายกว่า บางภาษา เช่น ภาษาญี่ปุ่น ภาษาจีน เป็นต้น ในมุมมอง (ส่วนตัว) ผู้เขียนคิดว่า ความผิดพลาด เกิดขึ้นจาก ระบบการศึกษาของประเทศของเราเอง ที่มักเน้น แต่ทษฎีมากเกินไป จนไม่สนใจ การปฏิบัติ (การใช้ภาษาในการสื่อสาร) ข้อสอบที่ออกมา ก็มีแต่ หลักไวยากรณ์ และคำศัพท์ เป็นส่วนใหญ่ ถึงว่าคนจบปริญญาเอก (ดูจากนักการเมืองบางคน) ถึงพูดได้แค่ งู ๆ ปลาๆ สำเนียง ก็แปลก เหมือน เด็กประถม (ว่าเกินไป หรือเปล่านะ เดี๋ยวโดนแบน) คำว่า เรียนภาษาอังกฤษที่ไหนดี เป็นคำาถามที่อยากรู้ว่า ที่ไหน โรงเรียนไหน หรือ สถานที่ไหน ที่สอน ภาษาอังกฤษแล้วดี แล้วทำให้เก่งได้ ถ้าถามผูเขียน ก็จะตอบตรงๆ ว่า ไม่ว่าที่ไหนๆ (ทุกที่ )ก็สามารถเป็นที่เรียนภาษาอังกฤษได้ดี ไม่ว่าจะเป็นสถานศึกษา โรงเรียน หรือ หน่วนงานการศึกษาของเอกชน เพราะว่า ขึ้นชื่อว่า การเล่าเรียน หรือการศึกษา ไม่ว่าวิชาอะไรก็ตาม สถาบัน หรือ โรงเรียน เป็นส่วนประกอบเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ที่จะทำให้เป็นคนเ่ก่ง ในสาขาที่เรียน แต่ส่วนที่สำคัญที่สุด คือตัวผู้เรียนเอง ที่จะต้องมีความมุ่งมั่น และทุ่มเท เพื่อใไห้ได้ ความรู้ ที่ตนเองต้องการ ดังนั้น คำว่า เรียนภาษาอังกฤษที่ไหนดี สำหรับคนที่มีความมุ่งมั่น และทุ่มเท จึงอาจจะ ไม่ใช่ สิ่งที่สำคัญมากนัก ยิ่ง คนที่มีงบจำกัด ก็แแทบจะไม่ต้องคิดเลย เพราะคงรู้อยู่แล้ว ว่าจะเข้าเรียนที่ไหน การเรียนภาษา ไม่ว่าภาษาอะไรก็ตาม (จากประสบการณ์ ผู้เขียน ที่เรียนมา 2 ภาษา ) มีความเห็นว่า การจะประสบความสำเรียนในการเรียน ก็คือ เรียนด้วยความเต็มใจ ตั้งใจ และรักที่จะเรียน และคุณก็จะเป็นคนเก่งได้ ไม่ว่าจะเรียนทีไหนก็ตาม ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ มีโปรแกรม ซอฟแวร์ แอพริเคชั่นมากมาย ช่วยสอนการเรียนให้เป็นไปอย่างง่านขึ้น โดยเฉพาะภาษา โปรแกรม Tell Me More Online สามารถพูดโต้ตอบให้เราได้ฝึกฝน สามารถผึกพูดกี่ครั้งก็ได้ ระบบจะตรวจสอบว่าคำพูดนั้นๆ ถูกต้องหรือไม่ อีกทั้งเป็นซอฟแวร์ที่สามารถเอาผลสอบไปเทียบกับ Toelf, Toeic, IELST ได้อีกด้วย

วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เวลา 2 อาทิตย์จะสอบ IELTS ต้องเตรียมตัวอย่างไร

เหลือเวลาอีกแค่ 2 อาทิตย์ ถึงตอนนี้คงจะฝึกเพิ่มเติมได้ไม่มากล่ะค่ะ
งั้นขนม ขออนุญาตแนะนำในแต่ละส่วน ในเรื่องเทคนิคที่ควรจะฝึกในเวลาที่จำกัดละกันนะคะ
เพราะจริงๆ IELTS 5.0 ไม่ได้ยากเลยค่ะ แต่ขึ้นอยู่กับพื้นฐานของคนสอบด้วยน่ะค่ะ
ปล. ข้อมูลที่เอามาแนะนำ ต้องขอขอบคุณเว็บนี้ และเว็บต่างๆที่กรุณาให้ความรู้เป็นวิทยาทานค่ะ

ส่วน listening นะคะ

ข้อสอบการฟังให้เวลาฟัง 30 นาที และเขียนตอบลงใน Answer Sheet อีก 10 นาที่ รวม 40 นาที ข้อสอบจะมี ทั้งหมด 4 ตอน 40 ข้อ ซึ่งในแต่ละตอนจะยากขึ้นเรื่อย ๆ ค่ะ
+ ตอนที่ 1 โดยส่วนใหญ่เป็นบทสนทนาระหว่าง 2 คน ในเรื่องทั่ว ๆ ไป เช่น การนัดหมาย การจอง การสมัคร >> คำตอบส่วนใหญ่ คือ ชื่อ ที่อยู่ (สถานที่) เบอร์โทรฯ อีเมล์

+ ตอนที่ 2 โดยส่วนใหญ่เป็นการพูดคนเดียวเกี่ยวกับ ข่าว สถานการณ์ ประเด็นต่าง ๆ

+ ตอนที่ 3 โดยส่วนใหญ่เป็นการสนทนา 2-4 คน เป็นเรื่องราวทางวิชาการหรือภาวะเหตุการณ์ต่าง ๆ หรืองานวิจัย

+ ตอนที่ 4 โดยส่วนใหญ่เป็นการพูดคนเดียวเชิงวิชาการเป็นลักษณะของการบรรยาย

ข้อแนะนำนะคะ

+ ฟัง (อ่าน) และทำความเข้าใจคำสั่งให้ชัดเจนว่าสั่งหรือมีข้อห้ามอะไร เช่น ห้ามเขียนเกิน 3 คน, ตอบเฉพาะตัวเลข

+ พยายามอ่านคำถามก่อน > และหา Keyword + ขีดเส้นใต้ Keyword ไว้ > และเดาคำตอบไว้ล่วงหน้า โดยใช้เวลา 30 วินาที่ ก่อนฟังให้เกิดประโยชน์ที่สุด

+ ขณะฟังให้นึกถึงสถานการณ์จริง

+ ชื่อคน ชื่อเมือง ควรเขียนตัวพิมพ์ใหญ่ หรือดูตามตัวอย่างที่มีมาให้ค่ะ

+ จับเสียงการเน้นคำของเรื่องราว โดยมากคำตอบจะเป็นการเน้นเสียงที่คำนั้น ๆ

+ ระหว่างฟังให้จดไปเรื่อย ๆ ใน keyword สำคัญ ๆ (เผื่อเอาไว้ตอบค่ะ)

+ อ่านโจทย์และสังเกตว่าคำตอบจะมาจากผู้พูดคนไหน (สนทนา) ให้ตั้งใจฟังให้มาก ๆ ขึ้น

+ สะกดให้ถูกต้อง (ถ้าเทปสะกดให้)

+ ถ้าทำไม่ทันให้ทำข้อต่อไปเลยไม่ต้องย้อนกลับมาคิดข้อที่ผ่านมา

+ เขียนตอบต้องเขียนให้อ่านออก (และต้องสะกดให้ถูกด้วย)

+ ควรเขียนตอบสไตล์ อังกฤษ เช่น Colour, 1st May, 2008 จะดีกว่าการตอบแบบ America

+ ให้ตอบทุกคำตอบ คิดไม่ออกให้ใช้ข้อมูลมาจากข้อความใกล้เคียง

+ ระหว่างที่ให้ตอบในโจทย์ และใช้ 10 นาทีในการย้ายคำตอบไป answer sheet อย่างคุ้มค่า

+ ถ้าตอบไม่ได้จริงๆ ให้ เดา เดา เดา อย่างว่างไว้เป็นอันขาด (เสียดาย)

+ให้มีสติและสมาธิ ตลอดเวลาการฟังและตอบ อย่าเหม่อ จะหลุดยาว

+ ให้อ่านศัพท์ Synonyms มาด้วย เพราะบางครั้งโจทย์กับคำตอบ คำศัพท์ต่างกันแต่ความหมายเหมือนกัน)

+ ฟังให้ดี ๆ ได้ยินแล้วอย่าตอบทันที ให้ mark เอาไว้ก่อนเพราะอาจจะมีคำตอบที่ถูก ตามมา (บ่อยมาก)

+ ให้ระมัดเรื่องเติม s ด้วย สำหรับข้อนี้ให้ดูตาม context ซึ่งอาจจะเป็น Subject หรือ Noun ซึ่งต้องสอดคล้องกัน

ส่วน Reading นะคะ

เรื่องที่อ่านประกอบไปด้วย 3 เรื่องด้วยกันค่ะ (3 section) ทั้งหมดมี 40 ข้อ ให้เวลาก็ 60 นาที (1 ตอน / 20 นาที) ซึ่งจะเริ่มจากเรื่องง่ายไปเรื่องยาก ลักษณะของข้อสอบจะเป็นเรื่องที่คัดลอกมาจาก บทความทางวิชาการ นิตยสาร วารสาร ตำราเรียน หนังสือพิมพ์

ข้อแนะนำนะคะ
+ แบ่งเวลาให้เหมาะสม 1 เรื่อง ใช้เวลา 20 นาที (เท่านั้น)

+ ตอนทำให้ทำในกระดาษโจทย์ก่อนแล้วใช้เวลาอีก 2 นาที ลอกคำตอบใส่ answer sheet ค่ะ (18 นาทีทำ และ 2 นาทีลอกคำตอบ) เพื่อเป็นการทบทวนการตอบด้วยค่ะ

+ อ่านคำสั่งให้เข้าใจว่าสั่งว่าอย่างไร แต่ละเรื่องอาจไม่เหมือนกันในเรื่องของข้อกำหนดในการตอบ

+ อ่านชื่อเรื่องเพื่อ Scope ความคิด

+ อ่านโจทย์ก่อนแล้วขีดเส้นใต้คำสำคัญหรือ key word เพื่อให้รู้ว่าอะไรคือ สิ่งที่ต้องการหาในเนื้อเรื่อง

+ key word มักจะเป็นคำที่บอก ชื่อ สถานที่ เวลา วันเดือนปี

+ หาคำตอบจากเนื้อเรื่องอย่างรวดเร็วด้วยการใช้ key word และ Symonyms (บางครั้ง key word อาจเป็นคำต่างแต่ความหมายเดียวกันค่ะ)

+ อย่าอ่านเนื้อเรื้องทั้งหมด (ไม่ต้องเข้าใจหมด) อ่านกลับไปกลับมาได้

+ อ่านแบบ Skim เพื่อหา key word เมื่อเจอ key word ให้อ่าน scan เพื่อหาคำตอบ

+ พยายามใช้ปากกาช่วยอ่านลดการมึน (มึนจริง ๆ ค่ะ เนื้อเรื่องก็เยอะ เวลาก็น้อย .... สู้ )

+ ต้องสรุป Main Idea ของแต่ละย่อหน้าให้ได้

+ โจทย์จะถามตามลำดับเนื้อเรื่อง ไม่ถามกลับไปกลับมา ทำให้เราหาคำตอบได้ง่ายขึ้นค่ะ

+ คำตอบจะมาจากเนื้อเรื่องเท่านั้น อย่าเอามาจากที่อื่น (เพราะเขียนตอบจะผิดได้)

+ ข้อยากไว้ทำทีหลัง (อาจตัด chioce ไปหรือ เลือกข้อที่น่าสนใจไว้) แล้วกลับมาทำ

+ อย่าปล่อยว่างไว้ ให้ตอบทุกข้อ

+ ถ้าทำไม่ได้จริง ๆ ให้ เดา เดา และ เดา ค่ะ

+ ต้องมีสมาธิ สติ ตลอดระยะเวลาการทำ

+ ควรอ่านหนังสือพิม ฟังข่าว และดูหนัง เป็นภาคอังกฤษ

+ จำศัพท์ไว้เยอะ ๆ (เจอที่ไหนก็จดและหาคำแปลเอาไว้) อาจได้ใช้แน่ ๆ

ส่วน Writing นะคะ

Writing ก็เป็นอีก part หนึ่งที่ปราบเซียน ค่ะ สำหรับ part นี้ประกอบไปด้วย 2 หัวข้อในการเขียน คือ

+ การอธิบาย graph, chart, table or picture โดยให้เขียนเป็นรูปแบบรายงานไม่ต้องแสดงความคิดเห็น โดยให้มีการเปรียบเทียบความเหมือนหรือแตกต่างของตัวเลขที่แสดง หรือลักษณะที่แตกต่างอออกไป (20 นาที)

+ การเขียน Essay ถึงทัศนะคติของหัวข้อที่ได้รับ โดยใช้ประสบการณ์หรือความรู้ในได้ (40 นาที)


ข้อแนะนำนะคะ

+ แบ่งเวลาในการเขียนให้เหมาะสม

- เรื่องแรกอธิบายกราฟ 20 นาที แบ่งเป็น 5 นาที สำหรับวางแผน และ 13 นาที สำหรับเขียน ส่วน 2 นาทีสำหรับตรวจสอบ (สำคัญมั่ก ๆ ตรวจสอบน่ะค่ะ เพราะอาจจะเสียคะแนนไปกับเรื่องง่าย ๆ เช่น spelling ค่ะ)

- เรืองที่สองเขียน Essay แสดงทัศนคติ แบ่งเป็น 10 นาที สำหรับวางแผน และ 28 นาที สำหรับเขียน ส่วน 2 นาที สำหรับตรวจสอบ

+ อ่านโจทย์ให้รอบคอบ และขีดเส้นใต้คำสำคัญไว้ เพื่อย้ำว่ากำลังเขียนถึงเรื่องอะไร

+การอธิบายกราฟ


- อย่าพยายามเขียนทุกอย่างในกราฟ ให้เขียนแสดงความแตกต่าง น้อย
สุดมากสุด การเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด
- ใช้คำเชื่อมในการบอกประเด็น (เพื่อให้รู้ว่าสิ่งที่จะทำต่อไปคืออะไร)
- แนวทางเดียวกัน : In addition, Furthermore, Besides
- แตกต่างกัน : Alternatively, Whereas, On the other hand,
In comparison, However
- ทัศนคติ : In my opinion, personally speaking
- แสดงเหตุผล : Because, Therefore, As a result
- เวลา,ลำดับ : Firstly, After that, Finally, Since
- ยกตัวอย่าง : For example, For instance, In other word ,
such as
- การใช้ Tense อย่างถูกต้อง (ส่วนใหญ่ present กะ past)
- พยายามใช้คำศัพท์ให้หลากหลายเพื่อแสดงการเพิ่มขึ้นและลดลง
- Up : rise, increase, growth, reach a peak
- Down : fall, drop, decrease, decline, reach a bottom
- No change : remain the same, remain stable
- How much : rapid, sharp, slight, slow, gradual, steady
constant
- Figures : just under, nearly,just over,over
- นำคำถามมาเรียบเรียงใหม่เป็น Intro
- อย่าวิเคราะห์กราฟ ให้บรรยายหรือรายงาน
- เขียนให้มากว่าที่กำหนดเสมอ อย่าน้อยกว่าเป็นอันขาด ค่ะ
- เขียนบ่อย ๆ สร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง

ส่วน Speaking นะคะ

Speaking มีคติประจำว่า "ทำตัวให้เหมือนคนพูดเก่ง พูดให้มากที่สุด เท่าที่จะมาได้ อย่าหยุด ถ้าผู้สัมภาษณ์ไม่บอกให้หยุด" แค่นี้ก็ได้ Band สูง ๆ แล้วค่ะ

ส่วนของการพูดประกอบด้วย 3 ส่วนย่อย ใช้เวลา ประมาณ 15 นาที
1. การแนะนำตัวและสัมภาษณ์ (4-5 นาที)
2. การพูดจากหัวข้อที่ได้รับ (เตรียม 1 นาที พูด 2 นาที)
3. การสัมภาษณ์ หัวข้อต่อเนื่องจากข้อ 2 (4-5 นาที)

ข้อแนะนำนะคะ

+ ตอบให้ยาวที่สุดเท่าที่จะยาวได้
+ อย่าถามผู้สัมภาษณ์กลับ
+ ถามชื่อให้ตอบเฉพาะชื่อกับนามสกุล (ไม่ต้องใส่ My name is...)
+ ถามว่ามาจากไหน ตอบว่า Thailand
+ พูดว่า What's do you mean exactly? เมื่อไม่เข้าใจคำถาม
+ เมื่อไม่ได้ยินให้พูดว่า Sorry เท่านั้น ไม่พูด Pardon
+ ใช้เวลาในการเตรียมพูด 2 นาทีอย่างคุ้มค่า (เขียนเป็น Mild map หรือ Topic list)
+ สบตาผู้สัมภาษณ์ และอ่านริมฝีปาก
+ ยิ้มแย้มแจ่มใส
+ พูดและคิดเป็นภาษาอังกฤษ อย่างสม่ำเสมอ
+ห้ามหยุดพูดไปเลยเด็ดขาดค่ะ ขอให้คิดได้ แต่ไม่ควรเกิน 5 วินาที
ถ้าคิดไม่ออกแนะนำว่าให้แต่งเรื่องขึ้นมาเลยค่ะ แต่ต้องไม่ใช่เรื่องที่ Examiner รู็อยู่แล้วนะคะ
อย่างเรื่องประวัติศาสตร์ หรือ วัฒนธรรมนี่แต่งไม่ได้นะคะ

การประเมินการพูด :

+ ความคล่องแคล่วและประติดประต่อ : พูดไปเรื่อย ๆ ไม่หยุด และมีการเชื่อมโยงที่ดี
+ การเลือกใช้ศัพท์ : เลือกศัพท์หลากหลาย และยาก
+ การเลือกใช้ไวยากรณ์และความถูกต้อง : ใช้ประโยชน์ซับซ้อนแต่เข้าใจง่าย
+ การออกเสียง : ออกเสียงอย่างเป็นธรรมชาติ เน้นสูงต่ำให้ถูกต้อง และชัดเจน เช่น Computer เน้นตรง pu นะค่ะ

การทำแบบฝึกหัดและเอาตัวเองเข้าไปในสภาพแวดล้อมของการใช้ภาษามาก ๆ จะเป็นผลดีต่อการสอบมากเลยค่ะ
ยังไงก็ขอให้โชคดีในการสอบค่ะ
* ขนม *

ขอขอบคุณข้อมูล www.dekenglish.com